วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วย

ไขขในช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปิดรับสมัครสอบ แข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี พ.ศ.2554 จึงขอนำกรณีข้อหารือที่มีมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ มานำเสนอดังนี้

คำถามข้อที่ 1 จากหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ศธ 0206.6/ว 2 ลงวันที่ 27 เมษายน 2553 ข้อ 7 ที่กำหนดว่า"ปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามที่บรรจุไว้ในประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย คำว่า"ไม่หลังวันเปิดรับสมัครวันสุดท้าย" หมายความว่าอย่างไร

ตอบหมายถึง ต้องได้รับอนุมัติภายในวันที่ 10 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย

คำถามข้อที่ 2 เคยได้ยินว่ามีการผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบกรณีการยื่นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้สามารถยื่นหนังสือรับรองแทนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่อนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่

ตอบ ก.ค.ศ.ผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบแข่งขันที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เฉพาะการสอบแข่งขันฯ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2553 เท่านั้น สำหรับการรับสมัครสอบแข่งขันฯ ในปี พ.ศ.2554 นี้ ผู้สมัครสอบแข่งขันฯ ไม่สามารถนำหนังสือรับรองสิทธิ ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน หรือเอกสารอื่นใดที่มิใช่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงมายื่นสมัครสอบ

คำถามข้อที่ 3 ปัจจุบันรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน มีคุณวุฒิด้านการศึกษา มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ในครั้งนี้ได้หรือไม่

ตอบ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ ถ้ามีคุณวุฒิและสาขาวิชาเอกตรงตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้องการ แต่จะต้องมีหนังสืออนุญาตจากผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้สมัครสอบแข่ง ขัน และยินยอมให้ย้ายหรือโอนโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อสอบแข่งขันได้

คำถามข้อที่ 4 จะตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรอง สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้จากที่ ใด

ตอบ ผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ สามารถตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาได้จากเว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ. ทาง www.moe.go.th/webtcs หรือสอบถามทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2280-2840 กรณีตรวจสอบแล้วพบว่า ก.ค.ศ.ยังไม่ได้รับรองคุณวุฒิ ให้แจ้งสถาบันการศึกษาเสนอให้ ก.ค.ศ.รับรองคุณวุฒิโดยด่วน เพื่อให้ทันการรับสมัครสอบวันสุดท้าย

หวังว่าผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็น ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย จะได้รับความกระจ่างในประเด็นต่างๆ ที่นำมาเสนอในวันนี้และหากมีข้อสงสัยประการใดเป็นการเพิ่มเติมสามารถ โทรศัพท์สอบถามเข้ามาได้ที่หมายเลข 0-2280-2835


ที่มา - หนังสือพิมพ์มติชน
บรรจุเป็นครูผู้ช่ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วยวย

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมื่อครูขาดแคลน ..ครูขาดคุณภาพ.. คุณภาพเด็กจะเป็นอย่างไร?

ความสำคัญของครูกับการพัฒนาบุคลากรของ ชาตินั้น นับว่ามีความสำคัญยิ่ง ด้วยคุณภาพชีวิตเด็กคงไม่ใช่อยู่แค่ความรู้เท่าทันวิทยาการอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการพัฒนาการทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เป็น “คนดี คนเก่ง มีความสุข” เมื่อดูจากภารกิจของการศึกษาที่เป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ มีศักยภาพความพร้อมแตกต่างกันทั้งบริบทส่วนตัวและปัจจัยรอบข้างแล้ว การจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ก็ คงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีเครื่องมือ สื่อ หรืออุปกรณ์ใดที่จะมีประสิทธิภาพเกินครูไปได้


แม้ทุกฝ่ายจะเข้าใจหรือรับรู้ถึงความสำคัญของครูกับการพัฒนาเด็กอย่างดียิ่ง แล้วก็ตาม แต่ปัญหาการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับครูก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่เห็นอยู่ก็คงหนีไม่พ้น ปัญหาครูขาดแคลน และ ปัญหาครูขาดคุณภาพ นั่นเอง


สำหรับปัญหาครูขาดแคลนนั้น พูดกันเมื่อไรก็จะเจอปัญหาทุกครั้ง เพราะเป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน แต่ไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง จนกลายเป็นดินพอกหางหมูใหญ่ขึ้นทุกขณะ แม้ขณะนี้โลกจะพัฒนาเข้าสู่ทศวรรษที่ 21 เป็นโลกยุคไร้พรมแดน เกิดความก้าวหน้าสารพัดด้าน แต่คุณภาพชีวิตเด็กไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้วมเตี้ยมไปได้ไม่ถึงไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยังขาดความพร้อมอยู่โดยเฉพาะ ความพร้อมของจำนวนครูที่จะมาสอนเด็กนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ เลขาธิการ กพฐ. ได้ออกมาบอกว่า ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ยังขาดแคลนครูสาขาต่าง ๆ กว่า 60,000 อัตรา ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายว่าจะพัฒนาบุคลากร ของชาติให้เข้าสู่พลเมืองโลก แต่ยังขาดแคลนครูที่จะดำเนินงานอยู่มากมายขนาดนั้น


เมื่อโรงเรียนขาดครูผู้สอน ย่อมส่งผล กระทบต่อคุณภาพเด็กและการดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 13,000 แห่ง ที่ยังขาดแคลนครูอย่างหนักซึ่งความขาดแคลนที่ว่านี้คงไม่ใช่แค่ไม่มีครูพอ สอนตามครบทุกสาขาวิชาเอก เท่านั้น แค่ขอให้มีครูสอนครบทุกชั้นก็ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนนักเรียนมีแต่จะเพิ่มขึ้นขณะที่จำนวนครูมีแต่จะลดลง ทำให้ครูมีไม่เพียงพอกับการสอนทุกวิชาเอก ซึ่งหากรวมปัญหาขาดแคลนครูในหลายลักษณะที่ว่านี้แล้ว เมื่อสำรวจเป็นรายโรงเรียน น่าจะขาดครูเป็นหลักแสนราย ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าตอนนี้โรงเรียนขนาดใหญ่ที่พอมีกำลังด้านงบประมาณก็จะจัดหาครู อัตราจ้างเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขด้วยวิธีดังกล่าวได้ นอกจากจะรอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้สถานเดียว


จริงแล้วที่มาของปัญหาครูขาดแคลนก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็มาจากครูโรงเรียนขนาดเล็กขอย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งการย้ายที่ว่านี้ก็มีทั้ง การขอไปช่วยราชการก่อน และการโยกย้ายปกติประจำปี ที่ในอดีตการขอย้ายจะไม่ยุ่งยากเช่นปัจจุบัน แค่มีเวลาปฏิบัติงานในพื้นที่ตามหลักเกณฑ์ คือ ย้ายภายในอำเภอเดียวกันใช้เวลาแค่ปีเดียว ระหว่างจังหวัดใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็มีสิทธิยื่นเรื่องขอย้ายได้ และที่สำคัญหากมีเส้นสายด้วยแล้ว แค่พ้นทดลองราชการ 6 เดือน ก็สามารถขอไปช่วยราชการต่างโรงเรียนได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมครูจึงไปกองรวมกันที่โรงเรียนในเมือง และโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่กันดารห่างไกลขาดแคลนครู พอมาถึงปัจจุบัน การขอไปช่วยราชการหรือการโยกย้ายอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ต้องมาเจอกับโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเข้าให้อีก ทำให้แค่ช่วง 3-4 ปี ของการดำเนินการ มีครูหายออกจากระบบเกือบแสนราย ยิ่งการดำเนินการช่วงแรกไม่มีการคืนอัตราให้ ก็เหมือนไปซ้ำเติมความขาดแคลนครูของโรงเรียนขนาดเล็กเข้าไปอีก หรือแม้แต่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน


เมื่อโรงเรียนมีครูไม่พอสอน และโรงเรียนต้องมาเจอสารพัดงาน ที่ต้นสังกัดหรือหน่วยงานนอกสังกัดส่งมาให้ดำเนินการ แถมมีกิจกรรม โครงการ ที่ดึงครูออกจากโรงเรียน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว การพัฒนาเด็กก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ครูที่พอมีอยู่หรือเหลืออยู่ ก็จะแก้ปัญหาโดยจัดสอนเฉพาะกลุ่มวิชาหลัก ๆ เพื่อให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยการรวมชั้นเรียนสำหรับนักเรียนระดับใกล้เคียง อะไรทำนองนั้น เมื่อสภาพการณ์เป็นไปเช่นนี้ความหวังที่จะเห็นเด็กได้รับการพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพทุกด้านนั้นจึงเป็นไปได้แค่นโยบายที่อยู่ในตัวหนังสือเท่านั้น


ส่วนการแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ดำเนินกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยวิธีการจัดหาครูอัตราจ้างรายเดือนเข้าไปทดแทนบางส่วนนั้น ก็คงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ เพราะเป็นการไปช่วยสอนแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งตามงบประมาณที่ได้รับมา ส่วนนี้หากมองถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาเด็ก อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ครูอัตราจ้างที่ต้องไปสอนเด็กชาวไทยภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้ภาษาตามบรรพบุรุษ พูดภาษาไทยไม่ได้ ครูอัตราจ้างเข้าไปในพื้นที่ใหม่ในเวลา 3-4 เดือน เชื่อได้เลยว่าจะไม่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขาได้เช่นกัน ทำให้การสื่อสารกับการสอนเด็กเป็นไปด้วยความยากลำบากเป็นแน่ แต่พอครูเริ่มรู้และพูดภาษาท้องถิ่นสื่อสารกับเด็กได้บ้าง ก็หมดงบประมาณการจ้าง ต้องรองบประมาณใหม่และจ้างครูอัตราจ้างคนใหม่ไปแทน ปัญหาเดิมก็จะวนกลับมาให้เห็นเช่นนี้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กที่เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นต้นไปจำนวนไม่น้อยที่ยังอ่านไม่ได้ หรือไม่คล่องอยู่ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยที่ว่ามาแล้วนั่นเอง


ส่วนปัญหาคุณภาพครู ในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับ เด็กได้ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยครูเก่าที่ว่ามาจากผู้เรียนเก่ง มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูตั้งแต่แรกเริ่มและมีประสบการณ์จัดการเรียนรู้ เริ่มหมดวาระการดำรงอยู่ในอาชีพราชการด้วยการเกษียณอายุราชการทั้งภาคปกติ และเออร์ลี่รีไทร์ ปีละเป็นหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มอ่อนล้ากับจำนวนงานที่มีเพิ่มมาให้ทำ มากกว่างานสอน หรือครูบางคนก็ก้าวได้ไม่ทันกับวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงยังคงใช้ประสบการณ์สอนแบบเดิม ๆ อยู่ ส่วนครูที่บรรจุใหม่ จำนวนไม่น้อยมาจากกลุ่มที่ไม่ได้สนใจวิชาชีพครูมาแต่แรก แต่ด้วยไม่สามารถหาที่เรียนตามความสนใจได้ที่สุดก็มาลงที่ครู จึงขาดอุดมการณ์และมีเจตคติเกี่ยวกับวิชาชีพครูในทางบวกไม่มากนัก ยิ่งหากไม่สนใจกับการพัฒนาตนเองในสาขาวิชาชีพนี้ด้วยแล้ว การจัดการเรียนรู้ก็จะกลายเป็นการสอนตามตำรา หรือสอนเนื้อหาในหนังสือไปในที่สุด


เมื่อการจัดการศึกษาของชาติ แค่จะหาผู้ที่จะเป็นผู้นำพาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ ยังมีปัญหาอยู่มากมายตั้งแต่แรกเริ่มเสียแล้ว ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ในเมืองก็คงพอทำเนา เพราะแม้จะขาดแคลนครูอยู่บ้างก็คงพอมีรายได้ของโรงเรียนมาจัดจ้างครูได้เอง หรือปัญหาคุณภาพครูก็ยังพอหาทางพัฒนาเพิ่มเติมกันได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ของลูกหลานผู้คนระดับราก หญ้าแล้วคงยากแก่การแก้ไขด้วยตนเอง ทั้งปัญหาขาดแคลนครูและครูขาดคุณภาพ ด้วยไม่มีปัจจัยเพียงพอนั่นเอง ทำให้ปัญหาจึงยังคงอยู่กับโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนครู ที่บางโรงเรียนมีครูคนเดียวต้องสอนครบทุกชั้นทุกวิชา หรือครู 1 คน ต้องสอนหลายชั้น หรือหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทำให้โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้หรือได้รับการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างเต็มศักยภาพเป็นไปได้น้อย จึงไม่ไปต้องสงสัยเลยว่าทำไม ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโดย สมศ.ในรอบแรกจึงออกมาว่ามีโรงเรียนที่ยังอยู่ในอาการโคม่ามีมากกว่า 15,000 แห่ง ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะสามารถพัฒนาจนผ่านการประเมินได้บ้างแต่ก็คงไม่ได้หมาย ความว่าโรงเรียนเหล่านั้นสามารถพัฒนาเด็กจนเกิดคุณภาพตามมาตรฐานกลาง ที่กำหนดไว้ แต่น่าจะเป็นการผ่านตามบริบทกับปัญหาที่ประสบอยู่มากกว่า


ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะ ต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว ด้วยเด็กส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องอาศัยเรียนอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก หากโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอนเด็กเหล่านั้นจะเดินตามทันได้อย่างไร ยิ่งเป้าหมายการเดินแบบก้าวกระโดด มุ่งสู่สากล แต่เด็กส่วนใหญ่ขาดพื้นฐานแม้แต่การเดินแล้วจะก้าวกระโดดทันเด็กในเมืองได้ อย่างไร หากคิดพัฒนาไปข้างหน้าจนลืมมองข้างหลังการเกิดช่องว่างในคุณภาพชีวิตเด็กใน เมืองกับเด็กชนบทก็ยิ่งจะกลายไปเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้ ห่างกันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เข้าไปอีก ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ว่านี้ ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า “ครูยังเป็นปัจจัยหลักและมีความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอยู่” และที่สำคัญต้องเข้าใจถึงบริบทการปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่าง กัน ไม่ใช่มองไปคนละทิศละทางอย่างที่เป็นมา ตัวอย่างเช่น เรื่องของจำนวนครู ซึ่งทาง กพร. ก็ยังมองแต่ในภาพรวม จึงเห็นว่าครูในปัจจุบันมีจำนวนเพียงพอ ทั้งนี้ก็ด้วยไปยึดอยู่กับเกณฑ์ เอ ดี บี ที่ใช้อัตราส่วนครูต่อเด็ก 1 : 25 คน ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับโรงเรียนในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ โรงเรียนขนาดเล็ก เพราะหากคิดตามสูตรดังกล่าวนี้แล้ว เกิดโรงเรียนนั้นมีเด็กแค่ 50 คน มีครู 2 คน จะถือว่าครูพอดีเกณฑ์ แต่ในทางปฏิบัติจริงโรงเรียนนั้นต้องเปิดสอน 6 ชั้นและทุกชั้นจะต้องสอนครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กับอีก 1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นี่ขนาดยังไม่รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ส่งมาให้ทำ หรือ ถูกสั่งให้ออกไปอบรม สัมมนา ร่วมกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วครู 2 คนจะปฏิบัติงานอย่างไร เพราะบางโรงเรียนทุกวันนี้จะหาครูเหลือเฝ้าเด็กก็แทบจะไม่มี หรือกรณีที่ว่าครูส่วนใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ในเมืองจนเกินเกณฑ์ก็จริง แต่การที่จะเกลี่ยครูที่ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนอยู่โรงเรียนในเมืองไปแล้ว ให้ไปอยู่โรงเรียนกันดารห่างไกล ถามว่าจะทำได้อย่างไร หรือใครจะกล้าทำ เพราะครูไม่ใช่เม็ดดิน เม็ดทราย ที่อยากจะกวาดไปอยู่ตรงไหนก็ได้เสียเมื่อไร หรือหากกล้าทำก็คงถูกฟ้องร้องกันไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่


เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จะมัวให้โรงเรียนขาดแคลนครูต้องรอให้ครูจากโรงเรียน ที่มีครูเกินเกณฑ์เกษียณอายุราชการแล้วค่อยตัดตำแหน่งไปให้นั้นคงไม่ทันเวลา เพราะเด็กที่ต้องผ่านระบบการศึกษาไปเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นแต่ละปีมีอยู่ หลายล้านคน การที่ปล่อยให้พื้นฐานการเรียนรู้หรือพื้นฐานคุณภาพชีวิตถูกพัฒนาเป็นไปตาม ยถากรรมเช่นนี้ อนาคตของบุคลากรของชาติและประเทศชาติ จะเป็นเช่นไร


ดังนั้นการแก้ปัญหาครูขาดแคลนจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องถือว่าเป็น ปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่ามัววิตกเกินเหตุว่าหากเพิ่มจำนวนครูแล้ว งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับมาจะหมดไปกับเงินเดือนของครูจนไม่เหลือ งบลงทุน เพราะงานจัดการศึกษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กนั้นครูคือผู้ดำเนินการทุก ส่วนถึงตัวเด็กโดยตรง ไม่เหมือนกับข้าราชการประเภทอื่น ๆ ที่ภารกิจอาจแตกต่างไป ดังนั้นงบประมาณที่นำมาจัดหาครูและพัฒนาครูนั่นแหละคือ การลงทุนเพื่อการศึกษาที่ตรงจุดที่สุดแล้ว จะบอกให้.

ครูเฮ! "วุฒิสภา" ใช้เวลาแค่ 10 นาที ผ่านสามวาระรวดร่าง กม.ขึ้นเงินเดือนครู ไม่เกิน 10%

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเอกฉันท์ 71 เสียง เห็นชอบในวาระ 3 ของร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที โดยมีการเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาในวาระ 2 ซึ่งไม่มี ส.ว.ในฐานะกรรมาธิการคนใด ติดใจหรือให้แก้ไขถ้อยคำในกฎหมายแม้แต่มาตราเดียว ขณะที่ภายในบริเวณรัฐสภาได้มีกลุ่มครูจากต่างจังหวัดมาร่วมฟังการพิจารณาของ วุฒิสภาในครั้งนี้ด้วย

สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ มาตรา 5 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเงินเดือนขั้นต่ำสูง เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มี ความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความจำเป็นไม่เกิน 10% ของเงินเดือน ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้วุฒิสภาจะส่งร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาให้สภาผู้แทนราษฎรรับทราบและดำเนินการ ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ

หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ

ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับกำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคล เข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยจะมีการประกาศรับสมัครระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-3 เมษายน 2554 รับสมัครระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน 2554 ดำเนินการสอบแข่งขันระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2554 นั้น

สำหรับวันนี้ จะขอชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการสอบแข่งขันฯ เพื่อให้ผู้ที่สนใจที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมความพร้อมในการสอบแข่งขันฯ ซึ่งการสอบจะมี3 ภาค ดังนี้

ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ด้วยวิธีการสอบข้อเขียน โดยคำนึงถึงระดับความรู้ ความสามารถที่ต้องการของตำแหน่ง ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานตำแหน่ง ซึ่งจะมีการสอบ 3 ส่วน คือ

1) ความรอบรู้ (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องสังคมเศรษฐกิจ การเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น และกฎหมาย (พระราชบัญญัติ) ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ

2) ความสามารถทั่วไป (50 คะแนน) ทดสอบความรู้ ความสามารถด้านตัวเลข ความสามารถด้านภาษาไทย และความสามารถด้านเหตุผล

3) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องวินัย และการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มาตรฐานวิชาชีพจรรยาบรรณวิชาชีพ และสมรรถนะวิชาชีพ

ภาค ข ความรู้ ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง(คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ทดสอบ 2 ส่วน คือ

1) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาการศึกษา (75 คะแนน) ทดสอบด้วยวิธีการสอบข้อเขียนในเรื่องหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว การพัฒนาผู้เรียน การบริหารจัดการชั้นเรียนการวิจัยทางการศึกษา สื่อ นวัตกรรม การวัดและประเมินผลการศึกษา

2) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาเอก (75 คะแนน)ทดสอบโดยวิธีการสอบข้อเขียนและหรือภาคปฏิบัติเกี่ยวกับความรู้ใน เนื้อหากลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก

ภาค ค ความเหมาะสมกับวิชาชีพ (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) ประเมินโดยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต ตรวจสอบเอกสาร หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม จากประวัติส่วนตัวและการศึกษา การประกอบคุณความดี บุคลิกภาพ ท่วงทีวาจาการมีปฏิภาณไหวพริบ เจตคติ และอุดมการณ์

สำหรับเกณฑ์การตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้สอบแข่งขันได้ ผู้นั้นจะต้องได้คะแนนแต่ละภาคไม่น้อยกว่าร้อยละ 60

ขอให้ผู้สนใจจะสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมตัวและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานการสมัครสอบแข่งขัน ให้ครบถ้วนก่อนวันรับสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร หนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ใบระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript)ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ (เช่น สภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นต้น) ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วย 54 รับสมัคร 25 มี.ค.-3 เม.ย.

เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วย รับสมัคร 25 มี.ค.-3 เม.ย.

นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2554 ก.ค.ศ.ได้กำหนดปฏิทินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย

- ประกาศรับสมัครสอบแข่งขันวันที่ 25 มีนาคม-3 เมษายน 2554

- รับสมัครสอบแข่งขัน วันที่ 4-10 เมษายน

- ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบแข่งขัน ภายในวันที่ 17 เมษายน และ

- ดำเนินการการสอบแข่งขัน ภาค ก วันที่ 25-26 เมษายน

- ภาค ข วันที่ 27 เมษายน

- ภาค ค วันที่ 28 เมษายน เป็นต้นไป และ

- ประกาศผลการสอบแข่งขันภายในวันที่ 6 พฤษภาคม นี้

"ขอให้ผู้ที่สนใจจะสมัครสอบเตรียมตัวและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานการสมัครสอบ แข่งขันให้ครบถ้วนก่อนวันรับสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร หนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ใบระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript) ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ เช่น สภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นต้น จะไม่รับหลักฐานหลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย

ทั้งนี้ การสอบแข่งขันตำแหน่งครูผู้ช่วยในเดือนเมษายนนี้ ทุกส่วนราชการที่มีอัตราว่าง จะประกาศรับสมัคร และสอบแข่งขันตามกำหนดการดังกล่าวพร้อมกันทั่วประเทศ" เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าว

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

พันธุ์เก่ากับพันธุ์ใหม่

แวดวงการศึกษาไทยห้วงปีที่ผ่านมากล่าวขวัญ ถึงการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่สอง และพูดถึง "ครูพันธุ์ใหม่"มากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งรวมหมายถึงระดับการศึกษาและคุณสมบัติ ตลอดจนค่าตอบแทน

ก่อนจะไปถึงครูพันธุ์ใหม่ วันนี้ลองมองย้อนกลับไปที่ "ครูพันธุ์เก่า"สักประเดี๋ยวเป็นไร

วันก่อนมีเรื่องครูตีนักเรียนเรื่องแต่งกายผิดระเบียบ ถึงขนาดฟกช้ำดำเขียวที่บริเวณแก้มก้น

หากว่ากันตามระเบียบกฎเกณฑ์ มีระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้เมื่อปี 2548 ห้ามครูลงโทษนักเรียนด้วยการตีด้วยไม้หรือตีด้วยวัสดุอุปกรณ์อื่นใด

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2553 ที่ศาลแขวงจังหวัดนครราชสีมา คณะผู้พิพากษาศาลแขวงพิพากษาจำคุกอดีตครูสอนศิลปศึกษา1 อดีตครูประจำวิชาภาษาไทย 1 และครูผู้ดูแลหอพัก 1 เป็นเวลา 1 ปี ปรับคนละ8,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการร่วมกระทำผิดลงโทษเด็กนักเรียนชายกว่า40 คน โดยการใช้ไม้เรียวทำด้วยหวายพันสายไฟฟ้าเฆี่ยนตีจนเด็กนักเรียนได้รับบาด เจ็บ

ความคิดเห็นเรื่องครูตีนักเรียนมีออกมาหลายทาง ทั้งผู้ปกครอง ทั้งนักเรียน และทั้งครูผู้รับผิดชอบ บ้างเห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วยโดยเหตุผลว่า หากมีการลงโทษตีด้วยไม้เรียวกระทำบนฐานของความรักความเมตตานักเรียน การตีนั้นก็น่ามีความเป็นไปได้ขณะที่บางโรงเรียนมีระเบียบว่าจะให้ลงโทษด้วย วิธีใด หากลงโทษด้วยการตี จะให้ครูตีหรือผู้ปกครองตี หรือจะลงโทษด้วยการหักคะแนน

การเฆี่ยนตีนักเรียนน่าจะมีต่อเนื่องมาแต่ในอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักลงโทษลูกหลานในปกครองด้วยการเฆี่ยนตีแทบทั้งสิ้น กำลังของการเฆี่ยนตีแรงค่อยแล้วแต่ทั้งความผิดและอารมณ์ ณ ขณะนั้นส่วนการเฆี่ยนตีของครู อาจถือกันมานานแล้วว่าครูคือพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน

"หลวงเมือง"เขียนไว้ใน"มติชน"คอลัมน์ "บทความธรรมดา" วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคมนี้ ตอนหนึ่งว่า

"คนไทยนับถือวันพฤหัสบดีเป็นวันครูเมื่อข้าพเจ้าเข้าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พ่อพาไปมอบตัวต่ออาจารย์ใหญ่ คือ ขุนปราศรัยจรรยา โดยให้ถือดอกไม้ธูปเทียนไปด้วยและไปวันพฤหัสบดี ท่านอาจารย์พูดกับพ่อของข้าพเจ้าว่า สมัยนี้เขาไม่นับถือกันแล้วมอบตัวกันเป็นพิธีก็พอ แต่พ่อของข้าพเจ้าเรียนท่านโดยนอบน้อมว่า ผมถือโบราณดอกไม้ธูปเทียนที่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์นำมาคารวะนี้บูชาพระก็ ได้ ท่านก็รับไว้ พ่อกล่าวมอบตัวเป็นครั้งที่ 2 ว่า ลูกผมคนนี้ยกให้เป็นศิษย์ของท่านขุน ดุว่าเฆี่ยนตีได้ตามความผิด อาจารย์ใหญ่หันมาถามข้าพเจ้าว่าเธอได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบเสียงแห้งๆ ว่า ครับ เป็นอันเสร็จพิธีมอบตัว"

เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเพื่อนศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าคารวะ อาจารย์เนื่องในโอกาสวันครู โดยนายอภิสิทธิ์นำพวงมาลัยคารวะคุณครูลินจงอินทรัมพรรย์ อดีตครูประจำชั้น ป.5 ป.6 ของนายกรัฐมนตรี

คุณครูลินจง ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ตอนหนึ่ง ความว่า

เนื่องในวันครูที่จะมาถึงในวันที่ 16 มกราคมนี้ อยากฝากถึงเพื่อนครูทั่วประเทศว่า ขอให้ภูมิใจในอาชีพของตนเอง เพราะครูเป็นอาชีพที่ได้ทำบุญจากการสั่งสอนให้ความรู้แก่ลูกศิษย์...ขอให้ ครูภูมิใจ ไม่ต้องน้อยใจว่าไม่รวย และต้องทำงานเหนื่อยยากแต่อาชีพที่ทำอยู่มีคุณค่ามหาศาลมาก และเป็นอาชีพที่คนอื่นไม่มีโอกาสทำ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องทำงานนี้ด้วยใจ

"ครูไม่ได้แค่ภูมิใจที่เป็นครูนายกฯ แต่ภูมิใจกับลูกศิษย์ทุกคนที่เป็นคนดี ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรที่สุจริตก็ภูมิใจ ทุกวันนี้มีลูกศิษย์ประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น นักแสดง ชาวนา บางคนก็บวชเป็นพระสงฆ์ดิฉันในฐานะเป็นครูก็จะติดตามลูกศิษย์แต่ละคนว่าเป็น อย่างไร"

"ราชภัฏข่าวสด" วันนี้เป็นแต่เพียงหยิบยกความเป็นพ่อแม่ ความเป็นครู เมื่อก่อนกับวันนี้มาให้อ่าน เผื่อว่าคุณครูและคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทั้งหลายได้ทบทวนกันว่า จะลงโทษด้วยไม้เรียวต่อไปหรือไม่

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้

อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้
เป็นเรื่องที่หลายคนยังหาแนวทางให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสสอบติดอยากสอบมีชื่อขึ้นบัญชีเหมือนเขาบ้าง ผมเองก็เคยเป็นคนนึงที่ต้องดิ้นรนหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองสอบบรรจุครูได้เหมือนเขาบ้างเพราะเป็นอาชีพที่ตัวเองไฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนจนกระทั่งเรียนจบก็ได้มีโอกาสทำงานด้านการสอนแต่เป็นสอนในโรงเรียนเอกชนซึ่งเราหวังที่จะสอบได้เป็นข้าราชการครูรัฐบาลกับเขาบ้าง พอทราบข่าวว่าจะมีการเิปิดสอบบรรจุที่ไหนก็เตรียมตัวอ่านหนังสือชนิดอ่านแทบไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้อ่านมันทุกอย่างอ่านทุกเรื่องที่น่าจะเป็นข้อสอบ เมื่อถึงวันสอบก็พร้อมทุกอย่างแต่ผลสอบออกมากลับเป็นว่าเราสอบไม่ผ่านภาค ก. เลยกลับมานั่งทบทวนตัวเองว่าเพราะอะไรทำไม เราอ่่านหนังสือขนาดนี้แล้วทำไมยังสอบไม่ผ่าน
และแล้วผมก็ได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนึง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ)ท่านได้ให้แนวทางสำหรับการอ่านหนังสือให้กับผมซึ่งเป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ อ่านหนังสือตรงไหน อ่านอย่างไรให้จำได้เราไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดทั้งเ่ล่มไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวเรียกว่าเราสามารถอ่านเก็งเฉพาะจุดที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบได้แน่นอน ผมเองก็ได้ทำตามปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอ่านหนังสือตามที่ท่านบอก แล้วเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้สอบครูผู้ช่วยอีกครั้งผลสอบออกมาผมสอบผ่านภาค ก. จริง ๆ ดีใจมากเป็นความรู้สึกที่สุดจะบรรยายเป็นความภูมิใจของตัวเรา แต่ยังต้องไปสอบภาค ข. อีก ซึ่งตอนนั้นวิชาเอกที่ผมสอบมีคนสอบผ่านภาค ก. เพียง 33 คน ก็ไปสอบภาค ข. และผลสอบรวมทั้ง ภาค ก . และ ข. ออกมาปรากฏว่าผมสอบได้ลำดับที่ 4 เหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งโล่งทั้งดีใจ ภูมิใจที่ตัวเองทำได้ไม่ได้พึ่งเส้นสายที่ได้เพราะไม่มีเส้นสายอยู่แล้วผมเป็นลูกชาวนา ดีใจที่เราได้แล้วทำให้พ่อแม่ภูมิใจด้วย ตอนนี้ผมก็ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จึงอยากเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของการสอบบรรจุครูผู้ช่วยให้ท่าน ๆ ทั้งหลายที่กำลังมองหาช่องทางสำหรับการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ผมสรุปหลักการอ่านหนังสือของผมสั้น ๆนะครับ
1. อ่านเรื่องที่จำเป็นที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบ พรบ. กฏหมาย ต้องแม่น มาตราต่าง ๆ
2. ความรู้ทั่วไปต้องแม่น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน
3. วิชาชีพครู อันนี้ต้องแม่นไม่น่าจะพลาดเพราะเป็นเรื่องจำเป็นมาก ข้อสอบออกเยอะ
4. เรื่องของภาษาไทย บางคนอาจไม่ชอบข้อสอบส่วนนี้ ถ้ามีหลักการอ่านดี ๆ ไม่ยาก จำหลักการให้ได้
5. คณิตศาสตร์ บางคนตกม้าตายเพราะวิชานี้ ทำไม่ทันเวลา เสียคะแนนได้ง่าย ผมเคยทำไม่ทันเวลาครับ สำหรับวิชานี้แ้ล้วก็สอบไม่ผ่านจริง ๆ
6. วิชาเอกตัวเอง อันนี้ต้องมั่นใจว่าทำข้อสอบได้ 100% นะครับ ถ้าไม่มั่นใจวิชาเอกตัวเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ถ้าไม่ได้ถึง 100% ก็ให้มั่นใจว่าทำได้ 80% ขึ้นสำหรับวิชาเอกตัวเอง

เอาละครับพอเป็นแนวทางให้กับท่านทั้งหลายแล้วผมจะนำตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยมาให้ท่านอ่านเรื่อย ๆครับ

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

คลอด2มาตรฐานหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ ป.โทสอนรายวิชา-ประจำชั้น

นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ได้เห็นชอบแนวทางการออกแบบ มาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี และหลักสูตรครูปริญญาตรีควบโท 6 ปี โดยหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การพัฒนาสร้างครูประจำวิชา เพื่อสอนระดับ ม.ปลายและอาชีวศึกษา ซึ่งผู้ที่จะเรียนหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรม.ปลาย หรือ GPAX และผลการเรียนวิชาเอกไม่ต่ำกว่า 3.00 มีความสามารถภาษาอังกฤษดี มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษที่เทียบกับ TOEFL ไม่น้อยกว่า 500 คะแนน จำนวนหน่วยกิตรวม 36 หน่วยกิต ทำวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต โดยในช่วง 1 ปีแรกต้องเรียนรายวิชาชีพครูควบคู่กับการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนการสอน รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาเอกในปีที่ 2 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย

นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การสร้างครูประจำชั้น เพื่อสอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยขึ้นไป โดยผู้เรียนจะได้รับการบ่มเพาะความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ด้านการศึกษา และศาสตร์วิชาเฉพาะตลอดหลักสูตร สำหรับผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า มี GPAX และผลการเรียนในวิชาเอกที่เลือกเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และ ผลสอบความถนัดทางวิชาชีพหรือวิชาการ ( PAT) วิชาวัดแววความเป็นครู PAT ภาษาอังกฤษ และคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวนหน่วยกิตที่ต้องเรียนคือ 156 หน่วยกิต นอกจากนี้ในช่วง 4 ปีแรกต้องเรียนวิชาวิจัยขั้นพื้นฐานและวิจัยเพื่อพัฒนา การเรียนการสอน ขณะที่รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาวิชาเอกในปีที่ 5 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย สำหรับอาจารย์ประจำหลักสูตรต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบ เท่า หรือดำรงตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ในสาขาวิชานั้นหรือสาขา ที่สัมพันธ์กัน และต้องมีประสบการณ์การสอนไม่น้อยกว่า 5 ปี

“การออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่ดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของ ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการโครงการฯไปสำรวจความพร้อมของ สถาบันที่เสนอรายชื่อว่ามีความพร้อมในการผลิตครูในหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตรดังกล่าว ว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมถึงสำรวจความพร้อมของบุคลากรเพื่อจะได้เตรียมการว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นครูของครูได้อย่างเหมาะสมต่อไป



ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 21 มกราคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการสอบ

เทคนิคการสอบ
การเตรียมตัวก่อนสอบ
- ศึกษาและทบทวนบ่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ การดูหนังสือวินาทีสุดท้าย เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด
- อ่านสมุดที่จดบันทึกไว้อย่างตั้งใจ ขณะที่อ่านไปให้นึกถึงคำถามที่อาจจะมีขึ้นแล้วลองตอบ
- ทบทวนอย่างมีจุดประสงค์อยู่ในใจ การทบทวนชนิดเปิดสมุดอย่างสุ่ม จะไม่มีประโยชน์ แต่ให้ทบทวนหลักการ (concept) พื้นฐาน และจุดสำคัญของเนื้อหา
- ลองดูหนังสือทบทวนกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนคำถาม คำตอบ แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับการทบทวนวิธีนี้ ก็ควรอ่านทบทวนเฉพาะตนเอง
- ลองสอบถามรุ่นพี่ ๆ เพื่อทราบลักษณะการออกข้อสอบของอาจารย์ (ปรนัย, อัตนัย, ระยะเวลา) นอกจากนี้ ควรหาข้อสอบเก่า ๆ หรือสอบถามรุ่นพี่ว่าอาจารย์เ**ถามอะไรบ้าง หากมีข้อสอบเก่า ให้นักศึกษาลองฝึกตอบคำถามดูและควรต้องตอบภายในเวลาที่กำหนด (เหมือนเช่น การลองทำข้อสอบเก่าในการสอบเอ็นทรานซ์)
- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ ไม่ใช่ดูหนังสือจนสว่าง เพราะจะมีผลทำให้สมองของนักศึกษาทำงานได้ไม่เต็มที่
-1 สัปดาห์ก่อนกำหนดสอบไล่ ควรจะได้ตรวจสอบเกี่ยวกับวิชาสอบ วันเวลาที่สอบ สถานที่สอบให้แน่นอน มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไปสอบผิดวิชา ผิดวัน
- คืนก่อนสอบ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาจทบทวนอีกเล็กน้อย ไม่ใช่มาเริ่มอ่านสิ่งใหม่ ๆ ในคืนนี้
- อย่าเครียด ! ทำจิตใจให้สบาย ถ้านักศึกษาเตรียมตัวมาดีแล้ว ไม่ควรจะกังวลต่อสิ่งใด แต่หากเตรียมตัวไม่ดีพอ ความกังวลนี้จะยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก
- ในวันสอบ ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลา แต่อย่าไปถึงก่อนเวลามากเกินไปนัก

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

ครูกระดานดำกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะเป็นอย่างไร?

เมื่อนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศว่า ปี 2554 เป็นปีแห่งคุณภาพครู ขณะที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อครูและนักเรียนมากขึ้น เด็กหลายคนเริ่มเรียนหนังสือจากแผ่นซีดี ครู-อาจารย์สอนลงคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะได้อะไร ???

ครูเรือจ้างที่เคยพาศิษย์นั่งเรือข้ามฝั่ง จะถูกลบออกจากสารบบหรือไม่ แล้วอนาคตเยาวชนของชาติจะไปในทิศทางใด "ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เข้ามาอิทธิพลต่อการเรียนการ สอนของครู ดร.มานะ กล่าวว่า ครูยุคใหม่จำเป็นต้องทันเทคโนโลยี และต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เรื่องการค้นคว้า หาข้อมูลใหม่ๆ เพราะเราสามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่จากต่างประเทศเร็วขึ้น ส่วนเทคนิคการนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ก็สามารถทำนักเรียนตื่นตาตื่นใจกับการสอนได้ โดยจะช่วยให้เด็กมีความสนใจและเรียนรู้ได้มากขึ้น แต่ครูยังต้องเรียนรู้ว่า เครื่องมือดังกล่าวมีทั้งคุณและโทษ

ส่วนกรณีที่จะทำให้ครูเป็นครูคุณภาพนั้น อ.นิเทศศาสตร์ เห็นว่า เมื่อสมัยก่อนครูก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถเป็นครูคุณภาพได้ โดยใช้หัวใจและใส่ใจในการสอน และตัวครูเองก็จะพัฒนาในการหาความรู้ตลอดเวลา ด้วยการไปหาหนังสือจากที่อื่นๆ มาเพิ่มเติมความรู้ของตน ก่อนที่จะนำไปสอนแก่เด็กๆ เทคโนโลยีช่วยเอื้อโอกาสเพิ่มเติมความรู้ให้กับครู ได้พัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น ทั้งนี้หากครูไม่มีใจ เทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยครูให้สอนได้ขึ้น ครูคุณภาพจึงอยู่ที่จิตสำนึกครูมากกว่า เทคโนโลยีเป็นที่ตัวเสริม

เมื่อถามว่า เด็กจะได้อะไรจากครูไฮเทค เชื่อว่า เด็กจะเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่มีใจเรียน มัวแต่เล่นเกม การมีคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการเรียนรู้ เทคโนโลยีจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วและ กว้างขึ้น

ขณะที่นางจารุณี สุทธิสวรรค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ จนสมควรได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการคุรุสภา ประจำปี 2553 ซึ่งสอนวิชานาฏศิลป์ กล่าวว่า การเป็นครูที่ดีต้องสามารถเติมเต็มผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ หากได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กได้ ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือในชนบท แต่ครูก็ไม่เคยคิดว่าการสอนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้สำหรับเด็กเลย เพราะเด็กในพื้นที่ใดหากได้รับการสอนที่ดี ครูก็จะสามารถดึงศักยภาพเขาออกมาได้ และสร้างให้เป็นคนดี คนเก่งได้เช่นกัน

เมื่อถามความคิดเห็นเรื่องเทคโนโลยีที่มีบทบาทกับการศึกษา ครูจารุณี บอกว่า เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญกับการศึกษา เพราะทุกวันนี้วิชานาฏศิลป์ก็ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต โดยเรียนรู้จากสิ่งที่เราสร้างให้ก่อนนำไปต่อยอดการศึกษาต่อไป

ส่วนการที่จะเปลี่ยนครูกระดานดำเป็นครูไฮเทค คุณครูนาฏศิลป์ เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถก้าวทันโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะซึมซับข้อมูล ที่ไม่ใช่แต่เพียงคอมพิวเตอร์อย่างเดียว โทรทัศน์เองก็มีส่วนช่วยได้ ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้รวดเร็วตามยุคข่าวสารเทคโนโลยี ถึงแม้จะไม่ได้จบคอมพิวเตอร์ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เด็กก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบรู้

ด้านนางภัทรพร อาษาดี ครูโรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นครูสอนวิชางานบ้าน ที่ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "ครูสอนดีเด่น" ประจำปี 2553 จากคุรุสภา กล่าวถึงแนวทางการสอนนักเรียนว่า ตนได้สอนและฝึกให้เด็กทำผลงานต่างๆ ทั้งโครงงานประดิษฐ์หลากหลายชนิด โดยผลงานทั้งหมดจะนำไปสู่ชุมชน และนำไปแข่งขันระดับจังหวัด ระดับประเทศต่อไป

ส่วนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน ที่ผ่านมาครูก็ต้องปรับตัวในการใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่แทรกเข้ามา และต้องใช้ให้เป็น ไม่เพียงแต่ดูอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เรายังต้องต่อยอดองค์ความรู้ให้กับเด็กๆ ทั้งในด้านการค้นคว้า การหาข้อมูล ซึ่งครูจะต้องพัฒนาตลอดเวลา ด้วยการทำสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดรับกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนสมัยใหม่ ที่จะต้องเรียนรู้จากสื่อที่ครูเป็นผู้ผลิต

"ทุกวันนี้ครูก็กลายเป็นครูไฮเทคไปแล้ว เช่นกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นองค์ความรู้ บางทีเด็กก็ได้แค่มอง แต่ถ้าครูเอาไปลงในคอมพิวเตอร์ มันจะทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากแผ่นซีดี หรือในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเด็กอาจจะนำกลับไปเรียนต่อที่บ้าน หรือเข้าไปอ่านในเว็บไซด์ต่างๆ ได้"

ทั้งนี้ ครูภัทรพร ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่า บางทีมันเหมือนดาบสองคม มีทั้งผลดีผลเสีย โดยผลเสียก็คือ หากใช้สื่ออินเตอร์เน็ตมาก จะทำให้เด็กเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนผลดีที่เราจะได้คือ โอกาสในการเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างเปิดกว้าง

นอกจากนี้ ครูดีเด่น ยังกล่าวถึงความคิดเห็นส่วนตัวว่า "ครูคุณภาพ ไม่ได้หมายความว่า ครูจะปล่อยให้เด็กอยู่กับความไฮเทคเพียงอย่างเดียว โดยที่ครูไม่ได้ดูแล ก็จะทำให้เด็กหลงทาง ใช้สื่อในทางที่ผิด ครูเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีขอบเขต ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นผลเสีย"

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

เปิดสอบครูผู้ช่วย 2554

เปิดสอบครูพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554
นายก มล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ปีงบประมาณ 2554 ของ สพฐ. ว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ทำหนังสือ ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการใช้เงินเหลือจ่ายของ สพฐ. ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อการบรรจุบุคลากรทดแทนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าโครงการ เออร์ลี่รีไทร์ จำนวน 12,860 คน ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออัตราเกษียณอายุราชการปี 2552 จำนวน 4,160 อัตรา คืนตามมติ ครม. ที่ให้คืนอัตราเกษียณฯปกติทั้ง 100% แก่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องจากขาดแคลนครู
"เลขาธิการ กพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารอ เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรอัตราคืนแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แล้ว และได้มีการสำรวจข้อมูลของแต่ละเขตพื้นที่ฯ แล้วว่าขาดอัตราเท่าใด ดังนั้นหาก คปร.อนุมัติ สพฐ.จะเร่งจัดสรรให้ทันที เพื่อให้เขตพื้นที่ฯจัดสรรอัตราลงสถานศึกษาต่อไป" นายกมลกล่าวและว่า สำหรับอัตราที่เขตพื้นที่ฯได้คืนนั้น สามารถนำไปเปิดสอบใหม่หรือจะเรียกจากบัญชีเดิมมาบรรจุก็ได้ ทั้ง นี้จะมีการสำรวจอัตราว่างในสถานศึกษาทั่วประเทศอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 ก่อน จะมีการเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554 อย่าง ไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าจะ ได้อัตราคืนมาบรรจุทั้งจากเกษียณปกติและเออร์ลี่รีไทร์รวม 17,020 อัตรา เนื่องจากจะได้คืนอัตราเออร์ลี่รีไทร์ 100% เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

รัฐแจกทุนครูดีเด่นคนละหมื่น

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการจ่ายเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับครูที่มีการสอนดีเด่นทั่วประเทศ โดยคัดเลือกมาจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด แห่งละ 1 คน โดยจะได้รับเงินพิเศษคนละ 1 หมื่นบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการพัฒนาการศึกษา

ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจะมีครูที่ได้รับเงินพิเศษประมาณ 1.2 แสนคน จากจำนวนทั้งหมด 4.5 แสนคน

นอกจากนี้ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการยังอยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นเงินเดือนครูเป็นการ ทั่วไปอีก 58% ผ่านการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินวิทยฐานะและเบี้ยเลี้ยง

“กระทรวงศึกษาฯ ยังมีงบประมาณเบิกจ่ายเหลื่อมปีเหลืออยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่น่าจะสามารถนำมาดำเนินนโยบายได้” แหล่งข่าวเปิดเผย

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการแถลงแผนเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ ก่อนจะนำมาตรการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 ม.ค.ต่อไป

นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 จำนวน 62 คน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า รัฐบาลมีโครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอน เป็นหลัก โดยรัฐบาลจะดึงบุคคลเหล่านี้มา และให้แรงจูงใจ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของค่าตอบแทน

นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครู ที่สอนดี และทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ อีกทั้งภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจ และมีส่วนร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย

“ครูคือปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ขาด ดังนั้นไม่ว่าจะปรับปรุงระบบบริหาร ระบบงบประมาณ หรือหลักสูตรอะไรก็ตาม แต่ถ้าปัจจัยในส่วนของครูไม่เอื้อให้เกิดความสำเร็จนั้น การปฏิรูปไม่มีทางประสบความสำเร็จ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้นำคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554

วันนี้ เวลา 14.20 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้ ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554 และรับฟังโอวาทจากนายกรัฐมนตรี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารที่ได้เสียสละเวลาเดินทางมา พร้อมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามาโดย ตลอด ซึ่งการปฏิรูปการศึกษานั้น อาจจะฟังดูใหญ่โตมาก คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเปลี่ยนแปลงระบบ และไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังมีอีกหลายประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายที่มีการวิเคราะห์วิจัย อะไรเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของคุณภาพการศึกษา ซึ่งยังไม่มีที่ไหนค้นพบว่า ฉะนั้น การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปต้องให้ความสำคัญกับครู ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มต้นนโยบายคืนครูให้นักเรียน เพราะที่ผ่านมาได้มีเสียงสะท้อนว่ายังไม่พอ เพราะครูบางคนต้องวิ่งหลายโรงเรียน และความมั่นคงทางอาชีพการงานของครูยังไม่ลงตัวอีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการเรื่องเงินเดือนและกฎหมาย เมื่อสภาเปิดสมัยประชุมขึ้นมาจะผลักดันตรงนี้ต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันเรื่องการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลักอยู่ 2 โครงการ ดังนี้ 1) เรื่องเด็กด้อยโอกาสที่จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ปัญหาความก้าวหน้าของวิชาชีพครู ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำระบบผูกติดกับเรื่องวิทยฐานะและเรื่องการทำผลงาน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมาก อาจจะส่งกระทบต่อเรื่องการเรียนการสอนของนักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พยายามปรับเพื่อให้สอดรับกับเรื่องการเรียนการสอน มากขึ้นและที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในแผนการปฏิรูปคือ โครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอนเป็นหลัก โดยจะดึงบุคคลเหล่านี้มาและจะได้รับแรงจูงใจอาจจะเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่ เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครูที่สอนดีและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็ม ที่ อีกทั้ง ภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจและมีส่วน ร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ครูยุคใหม่

ครูยุคใหม่ กำลังเป็นกระแสในสังคมที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์และคำถาม เช่น ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน? ทำไมต้องมีครูยุคใหม่? ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร? ครูยุคใหม่พัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?

คำตอบจากคำถามข้างต้น น่าจะเป็นดังนี้ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน?- ครูยุคใหม่ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการศึกษา

- ครูยุคใหม่ เป็นนักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ และนักวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน

- ครูยุคใหม่ เป็นครูโดยจิตวิญญาณ มีจิตวิทยาและศิลปะในการสอนและการถ่ายทอดความรู้

- ครูยุคใหม่ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่

- ครูยุคใหม่ มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการเรียนการสอน

- ครูยุคใหม่ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และสังคม

ครูยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติข้างต้น จึงไม่ใช่เฉพาะครูใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงครูทุกคนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นครูเก่าหรือครูใหม่ คือครูยุคใหม่

ทำไมต้องมีครูยุคใหม่?คงต้องยอมรับเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ดังข้อมูลต่อไปนี้

ผลการประเมินของโครงการ Program for International Student Assessment (PISA) ที่ดำเนินการโดย Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ทำการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการทุก 3 ปี มีผลการประเมินการรู้เรื่อง(Literacy) ใน 3 ด้าน ในปี 2549 ดังนี้

- ด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศเกาหลีได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 556 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ 500

- ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematic Literacy) ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศจีน-ไทเป ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 549 คะแนนเฉลี่ยOECD คือ 500

- ด้านการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Science Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 421 ประเทศฟินแลนด์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 563 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ500 (แหล่งที่มา : โครงการ PISA ของ OECD)

ส่วนผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ปี2552 มีผลการสอบเฉลี่ยร้อยละ ดังนี้

- ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 38.58 ภาษาอังกฤษ 31.75 คณิตศาสตร์ 35.88 วิทยาศาสตร์ 38.67 สังคมศึกษา 33.91

- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาษาไทย 35.35 ภาษาอังกฤษ 22.54 คณิตศาสตร์ 26.04 วิทยาศาสตร์ 29.16 สังคมศึกษา 39.70

- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 46.47 ภาษาอังกฤษ 23.98 คณิตศาสตร์ 28.55 วิทยาศาสตร์ 31.03 สังคมศึกษา 36.01

(แหล่งที่มา : สถาบันทดสอบทางการศึกษา(องค์การมหาชน)

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ และ "การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนเกือบทุกครั้งยังน่าผิดหวัง"(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 14 พ.ค.2552)

ส่วนผลการวิจัยของ sir michael barber โดยMckinsey & Company พบว่า ประสบการณ์ของประเทศที่มีผลการประเมินสูงอยู่ในสิบอันดับแรกสรุปได้ถึง ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของระบบโรงเรียน 3 ประการ ดังนี้

1.การคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเป็นครู (Getting the right people to become teachers)

2.การพัฒนาให้เป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ(Developing them into effective instructors)

3.การประกันระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนทุกคน (Ensuring that the system is able to deliver the best possible instruction for every chilld)

การผลิตครูและพัฒนาครูยุคใหม่ตามนิยามข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร?- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาครูในระบบ ซึ่งเป็นครูประจำการที่มีจำนวนมากประมาณ 700,000 คน อาทิ ครู สพฐ. ประมาณ500,000 คน ครู สอศ. ประมาณ 50,000 คน ครูสช. ประมาณ 100,000 คน ครู อปท. ประมาณ50,000 คน เป็นต้น การจะพัฒนาครูในระบบสู่ความเป็นครูยุคใหม่ได้อย่างไร? คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาที่รับผิดชอบต้องดำเนินการ ทราบว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยมองการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเป็นองค์รวม โดยมีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้รับผิดชอบ

- การผลิตครูยุคใหม่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิรูปโดยการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและมี สิ่งจูงใจที่เหมาะสมโครงการครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นการผลิตครูเพื่อทดแทนครูที่ จะเกษียณอายุราชการของกระทรวงศึกษาธิการประมาณ 200,000 คน ตามมติ ครม. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 ครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นผลผลิตที่จะสนองตอบความเป็นครูยุคใหม่ในระบบการผลิตครู คุณภาพ

- ในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ทดแทนครูเกษียณอายุราชการ รัฐบาลได้เริ่มโครงการทุนครูยุคใหม่ระหว่างปี 2552-2561 โดยมีทุน 2 ประเภท ได้แก่ประเภทที่ 1 มีทุนการศึกษาและมีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) กับประเภทที่ 2 มีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) รวมทั้ง 2 ประเภท จำนวน 33,600 ทุน และอาจจะขยายจำนวนทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการรับทุนเต็มรูปแบบจะเริ่มในปีการศึกษา 2554 โดยมีหลักการดังนี้

คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา1.1 หลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี ผู้สมัครรับทุนต้อง

- มีคะแนนผลการเรียน ม.ปลาย เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00 และผลการเรียนในวิชาเอก (ถ้ามี) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีคะแนนผลการสอบ O-NET, GAT, PAT อยู่ในกลุ่มสูงร้อยละสามสิบ (Top Thirty) ของกลุ่มผู้สอบในแต่ละปี

- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 400, computer based ไม่น้อยกว่า 97, internet based ไม่น้อยกว่า 32) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 3.5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

1.2 หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี (รับผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี) ผู้สมัครรับทุนต้อง

- มีคะแนนผลการเรียนเฉลี่ย และผลการเรียนวิชาเอกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 450, computer based ไม่น้อยกว่า 133, internet based ไม่น้อยกว่า 45) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 4 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ.รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

1.3 หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีจะมีนิสิต/นักศึกษารับทุนเป็นปีสุดท้าย กรณีที่มีทุนเหลือจากหลักสูตรปริญญาตรี ควบโท 6 ปี และหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี

เงื่อนไขระหว่างการศึกษา ต้องได้คะแนนรวมเฉลี่ยคะแนนวิชาเอกเฉลี่ย และคะแนนวิชาชีพครูเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.00 ทุกกลุ่ม

เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติทั้งก่อนเข้าศึกษา และระหว่างศึกษาอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณภาพที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเช่นมี คะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 500, computer based ไม่น้อยกว่า173, internet based ไม่น้อยกว่า 61) หรือ IELTS ไม่น้อยกว่า 5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาต่างประเทศ) จึงอาจเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราเงินเดือนสูงกว่าระดับปริญญาโทปกติได้

ครูยุคใหม่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?ครูยุคใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเท่านั้น ดังนั้น นอกจากครูยุคใหม่แล้ว นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลยังได้กำหนดการพัฒนาคุณภาพทั้งสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการบริหารจัดการใหม่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ตามปฏิญญาการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สอง (2552-2561) ที่มีเป้าหมายคือ

คนไทยยุคใหม่ มีสมรรถนะการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล (IMD), คนไทยใฝ่รู้ :สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, คนไทยใฝ่ดี : มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มีศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมและคนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น : มีความสามารถในการสื่อสารสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ริเริ่มสร้างสรรค์

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการ ศึกษาด้วยอาทิ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งหลักสูตรการผลิตครู หลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาคุณภาพครูของครู ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นที่ร่วมการผลิตครูยุคใหม่

ผู้สนใจรับทุนครูพันธ์ใหม่ โปรดติดตามความคืบหน้าได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศรับสมัครผู้รับทุนครูพันธุ์ใหม่ ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2554

ครูยุคใหม่ จึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง