แวดวงการศึกษาไทยห้วงปีที่ผ่านมากล่าวขวัญ ถึงการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่สอง และพูดถึง "ครูพันธุ์ใหม่"มากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งรวมหมายถึงระดับการศึกษาและคุณสมบัติ ตลอดจนค่าตอบแทน
ก่อนจะไปถึงครูพันธุ์ใหม่ วันนี้ลองมองย้อนกลับไปที่ "ครูพันธุ์เก่า"สักประเดี๋ยวเป็นไร
วันก่อนมีเรื่องครูตีนักเรียนเรื่องแต่งกายผิดระเบียบ ถึงขนาดฟกช้ำดำเขียวที่บริเวณแก้มก้น
หากว่ากันตามระเบียบกฎเกณฑ์ มีระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้เมื่อปี 2548 ห้ามครูลงโทษนักเรียนด้วยการตีด้วยไม้หรือตีด้วยวัสดุอุปกรณ์อื่นใด
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2553 ที่ศาลแขวงจังหวัดนครราชสีมา คณะผู้พิพากษาศาลแขวงพิพากษาจำคุกอดีตครูสอนศิลปศึกษา1 อดีตครูประจำวิชาภาษาไทย 1 และครูผู้ดูแลหอพัก 1 เป็นเวลา 1 ปี ปรับคนละ8,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการร่วมกระทำผิดลงโทษเด็กนักเรียนชายกว่า40 คน โดยการใช้ไม้เรียวทำด้วยหวายพันสายไฟฟ้าเฆี่ยนตีจนเด็กนักเรียนได้รับบาด เจ็บ
ความคิดเห็นเรื่องครูตีนักเรียนมีออกมาหลายทาง ทั้งผู้ปกครอง ทั้งนักเรียน และทั้งครูผู้รับผิดชอบ บ้างเห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วยโดยเหตุผลว่า หากมีการลงโทษตีด้วยไม้เรียวกระทำบนฐานของความรักความเมตตานักเรียน การตีนั้นก็น่ามีความเป็นไปได้ขณะที่บางโรงเรียนมีระเบียบว่าจะให้ลงโทษด้วย วิธีใด หากลงโทษด้วยการตี จะให้ครูตีหรือผู้ปกครองตี หรือจะลงโทษด้วยการหักคะแนน
การเฆี่ยนตีนักเรียนน่าจะมีต่อเนื่องมาแต่ในอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักลงโทษลูกหลานในปกครองด้วยการเฆี่ยนตีแทบทั้งสิ้น กำลังของการเฆี่ยนตีแรงค่อยแล้วแต่ทั้งความผิดและอารมณ์ ณ ขณะนั้นส่วนการเฆี่ยนตีของครู อาจถือกันมานานแล้วว่าครูคือพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน
"หลวงเมือง"เขียนไว้ใน"มติชน"คอลัมน์ "บทความธรรมดา" วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคมนี้ ตอนหนึ่งว่า
"คนไทยนับถือวันพฤหัสบดีเป็นวันครูเมื่อข้าพเจ้าเข้าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พ่อพาไปมอบตัวต่ออาจารย์ใหญ่ คือ ขุนปราศรัยจรรยา โดยให้ถือดอกไม้ธูปเทียนไปด้วยและไปวันพฤหัสบดี ท่านอาจารย์พูดกับพ่อของข้าพเจ้าว่า สมัยนี้เขาไม่นับถือกันแล้วมอบตัวกันเป็นพิธีก็พอ แต่พ่อของข้าพเจ้าเรียนท่านโดยนอบน้อมว่า ผมถือโบราณดอกไม้ธูปเทียนที่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์นำมาคารวะนี้บูชาพระก็ ได้ ท่านก็รับไว้ พ่อกล่าวมอบตัวเป็นครั้งที่ 2 ว่า ลูกผมคนนี้ยกให้เป็นศิษย์ของท่านขุน ดุว่าเฆี่ยนตีได้ตามความผิด อาจารย์ใหญ่หันมาถามข้าพเจ้าว่าเธอได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบเสียงแห้งๆ ว่า ครับ เป็นอันเสร็จพิธีมอบตัว"
เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเพื่อนศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าคารวะ อาจารย์เนื่องในโอกาสวันครู โดยนายอภิสิทธิ์นำพวงมาลัยคารวะคุณครูลินจงอินทรัมพรรย์ อดีตครูประจำชั้น ป.5 ป.6 ของนายกรัฐมนตรี
คุณครูลินจง ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ตอนหนึ่ง ความว่า
เนื่องในวันครูที่จะมาถึงในวันที่ 16 มกราคมนี้ อยากฝากถึงเพื่อนครูทั่วประเทศว่า ขอให้ภูมิใจในอาชีพของตนเอง เพราะครูเป็นอาชีพที่ได้ทำบุญจากการสั่งสอนให้ความรู้แก่ลูกศิษย์...ขอให้ ครูภูมิใจ ไม่ต้องน้อยใจว่าไม่รวย และต้องทำงานเหนื่อยยากแต่อาชีพที่ทำอยู่มีคุณค่ามหาศาลมาก และเป็นอาชีพที่คนอื่นไม่มีโอกาสทำ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องทำงานนี้ด้วยใจ
"ครูไม่ได้แค่ภูมิใจที่เป็นครูนายกฯ แต่ภูมิใจกับลูกศิษย์ทุกคนที่เป็นคนดี ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรที่สุจริตก็ภูมิใจ ทุกวันนี้มีลูกศิษย์ประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น นักแสดง ชาวนา บางคนก็บวชเป็นพระสงฆ์ดิฉันในฐานะเป็นครูก็จะติดตามลูกศิษย์แต่ละคนว่าเป็น อย่างไร"
"ราชภัฏข่าวสด" วันนี้เป็นแต่เพียงหยิบยกความเป็นพ่อแม่ ความเป็นครู เมื่อก่อนกับวันนี้มาให้อ่าน เผื่อว่าคุณครูและคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทั้งหลายได้ทบทวนกันว่า จะลงโทษด้วยไม้เรียวต่อไปหรือไม่
ยินดีต้อนเราเข้าสู่เส้นทางสายครู ผู้มีความฝันมุ่งมั่นแรงกล้า เราจะจุดประกายฝันของคุณ นำคุณไปสู่ความฝันความสำเร็จสู่การเป็นครูอย่างแท้จริง เตรียมความพร้อมก่อนการสอบ คู่มือการสอบบรรจุครู การบรรจุเป็นครูผู้ช่วย อ่านหนังสืออย่างไรถึงจะสอบได้ ติวกับใครถึงจะรู้ลึกเจะลึกถึงข้อสอบแน่นอน นำความรู้และประสบการณ์จากการที่เคยเป็นผู้เข้าสอบจนบัดนี้ประสบความสำเร็จได้แล้ว อยากให้ทุกท่านที่อ่านแล้วสอบบรรจุครูให้ได้ทุกคน อ่านแนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย สอบบรรจุครู แนวข้อสอบครูผู้ช่วย
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้
อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้
เป็นเรื่องที่หลายคนยังหาแนวทางให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสสอบติดอยากสอบมีชื่อขึ้นบัญชีเหมือนเขาบ้าง ผมเองก็เคยเป็นคนนึงที่ต้องดิ้นรนหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองสอบบรรจุครูได้เหมือนเขาบ้างเพราะเป็นอาชีพที่ตัวเองไฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนจนกระทั่งเรียนจบก็ได้มีโอกาสทำงานด้านการสอนแต่เป็นสอนในโรงเรียนเอกชนซึ่งเราหวังที่จะสอบได้เป็นข้าราชการครูรัฐบาลกับเขาบ้าง พอทราบข่าวว่าจะมีการเิปิดสอบบรรจุที่ไหนก็เตรียมตัวอ่านหนังสือชนิดอ่านแทบไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้อ่านมันทุกอย่างอ่านทุกเรื่องที่น่าจะเป็นข้อสอบ เมื่อถึงวันสอบก็พร้อมทุกอย่างแต่ผลสอบออกมากลับเป็นว่าเราสอบไม่ผ่านภาค ก. เลยกลับมานั่งทบทวนตัวเองว่าเพราะอะไรทำไม เราอ่่านหนังสือขนาดนี้แล้วทำไมยังสอบไม่ผ่าน
และแล้วผมก็ได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนึง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ)ท่านได้ให้แนวทางสำหรับการอ่านหนังสือให้กับผมซึ่งเป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ อ่านหนังสือตรงไหน อ่านอย่างไรให้จำได้เราไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดทั้งเ่ล่มไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวเรียกว่าเราสามารถอ่านเก็งเฉพาะจุดที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบได้แน่นอน ผมเองก็ได้ทำตามปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอ่านหนังสือตามที่ท่านบอก แล้วเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้สอบครูผู้ช่วยอีกครั้งผลสอบออกมาผมสอบผ่านภาค ก. จริง ๆ ดีใจมากเป็นความรู้สึกที่สุดจะบรรยายเป็นความภูมิใจของตัวเรา แต่ยังต้องไปสอบภาค ข. อีก ซึ่งตอนนั้นวิชาเอกที่ผมสอบมีคนสอบผ่านภาค ก. เพียง 33 คน ก็ไปสอบภาค ข. และผลสอบรวมทั้ง ภาค ก . และ ข. ออกมาปรากฏว่าผมสอบได้ลำดับที่ 4 เหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งโล่งทั้งดีใจ ภูมิใจที่ตัวเองทำได้ไม่ได้พึ่งเส้นสายที่ได้เพราะไม่มีเส้นสายอยู่แล้วผมเป็นลูกชาวนา ดีใจที่เราได้แล้วทำให้พ่อแม่ภูมิใจด้วย ตอนนี้ผมก็ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จึงอยากเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของการสอบบรรจุครูผู้ช่วยให้ท่าน ๆ ทั้งหลายที่กำลังมองหาช่องทางสำหรับการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ผมสรุปหลักการอ่านหนังสือของผมสั้น ๆนะครับ
1. อ่านเรื่องที่จำเป็นที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบ พรบ. กฏหมาย ต้องแม่น มาตราต่าง ๆ
2. ความรู้ทั่วไปต้องแม่น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน
3. วิชาชีพครู อันนี้ต้องแม่นไม่น่าจะพลาดเพราะเป็นเรื่องจำเป็นมาก ข้อสอบออกเยอะ
4. เรื่องของภาษาไทย บางคนอาจไม่ชอบข้อสอบส่วนนี้ ถ้ามีหลักการอ่านดี ๆ ไม่ยาก จำหลักการให้ได้
5. คณิตศาสตร์ บางคนตกม้าตายเพราะวิชานี้ ทำไม่ทันเวลา เสียคะแนนได้ง่าย ผมเคยทำไม่ทันเวลาครับ สำหรับวิชานี้แ้ล้วก็สอบไม่ผ่านจริง ๆ
6. วิชาเอกตัวเอง อันนี้ต้องมั่นใจว่าทำข้อสอบได้ 100% นะครับ ถ้าไม่มั่นใจวิชาเอกตัวเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ถ้าไม่ได้ถึง 100% ก็ให้มั่นใจว่าทำได้ 80% ขึ้นสำหรับวิชาเอกตัวเอง
เอาละครับพอเป็นแนวทางให้กับท่านทั้งหลายแล้วผมจะนำตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยมาให้ท่านอ่านเรื่อย ๆครับ
และแล้วผมก็ได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนึง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ)ท่านได้ให้แนวทางสำหรับการอ่านหนังสือให้กับผมซึ่งเป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ อ่านหนังสือตรงไหน อ่านอย่างไรให้จำได้เราไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดทั้งเ่ล่มไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวเรียกว่าเราสามารถอ่านเก็งเฉพาะจุดที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบได้แน่นอน ผมเองก็ได้ทำตามปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอ่านหนังสือตามที่ท่านบอก แล้วเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้สอบครูผู้ช่วยอีกครั้งผลสอบออกมาผมสอบผ่านภาค ก. จริง ๆ ดีใจมากเป็นความรู้สึกที่สุดจะบรรยายเป็นความภูมิใจของตัวเรา แต่ยังต้องไปสอบภาค ข. อีก ซึ่งตอนนั้นวิชาเอกที่ผมสอบมีคนสอบผ่านภาค ก. เพียง 33 คน ก็ไปสอบภาค ข. และผลสอบรวมทั้ง ภาค ก . และ ข. ออกมาปรากฏว่าผมสอบได้ลำดับที่ 4 เหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งโล่งทั้งดีใจ ภูมิใจที่ตัวเองทำได้ไม่ได้พึ่งเส้นสายที่ได้เพราะไม่มีเส้นสายอยู่แล้วผมเป็นลูกชาวนา ดีใจที่เราได้แล้วทำให้พ่อแม่ภูมิใจด้วย ตอนนี้ผมก็ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จึงอยากเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของการสอบบรรจุครูผู้ช่วยให้ท่าน ๆ ทั้งหลายที่กำลังมองหาช่องทางสำหรับการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ผมสรุปหลักการอ่านหนังสือของผมสั้น ๆนะครับ
1. อ่านเรื่องที่จำเป็นที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบ พรบ. กฏหมาย ต้องแม่น มาตราต่าง ๆ
2. ความรู้ทั่วไปต้องแม่น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน
3. วิชาชีพครู อันนี้ต้องแม่นไม่น่าจะพลาดเพราะเป็นเรื่องจำเป็นมาก ข้อสอบออกเยอะ
4. เรื่องของภาษาไทย บางคนอาจไม่ชอบข้อสอบส่วนนี้ ถ้ามีหลักการอ่านดี ๆ ไม่ยาก จำหลักการให้ได้
5. คณิตศาสตร์ บางคนตกม้าตายเพราะวิชานี้ ทำไม่ทันเวลา เสียคะแนนได้ง่าย ผมเคยทำไม่ทันเวลาครับ สำหรับวิชานี้แ้ล้วก็สอบไม่ผ่านจริง ๆ
6. วิชาเอกตัวเอง อันนี้ต้องมั่นใจว่าทำข้อสอบได้ 100% นะครับ ถ้าไม่มั่นใจวิชาเอกตัวเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ถ้าไม่ได้ถึง 100% ก็ให้มั่นใจว่าทำได้ 80% ขึ้นสำหรับวิชาเอกตัวเอง
เอาละครับพอเป็นแนวทางให้กับท่านทั้งหลายแล้วผมจะนำตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยมาให้ท่านอ่านเรื่อย ๆครับ
ป้ายกำกับ:
ข้อสอบครูผู้ช่วย,
แนวข้อสอบ,
สอบครู2554,
สอบครูผู้ช่วย
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554
คลอด2มาตรฐานหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ ป.โทสอนรายวิชา-ประจำชั้น
นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ได้เห็นชอบแนวทางการออกแบบ มาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี และหลักสูตรครูปริญญาตรีควบโท 6 ปี โดยหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การพัฒนาสร้างครูประจำวิชา เพื่อสอนระดับ ม.ปลายและอาชีวศึกษา ซึ่งผู้ที่จะเรียนหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรม.ปลาย หรือ GPAX และผลการเรียนวิชาเอกไม่ต่ำกว่า 3.00 มีความสามารถภาษาอังกฤษดี มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษที่เทียบกับ TOEFL ไม่น้อยกว่า 500 คะแนน จำนวนหน่วยกิตรวม 36 หน่วยกิต ทำวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต โดยในช่วง 1 ปีแรกต้องเรียนรายวิชาชีพครูควบคู่กับการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนการสอน รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาเอกในปีที่ 2 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย
นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การสร้างครูประจำชั้น เพื่อสอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยขึ้นไป โดยผู้เรียนจะได้รับการบ่มเพาะความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ด้านการศึกษา และศาสตร์วิชาเฉพาะตลอดหลักสูตร สำหรับผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า มี GPAX และผลการเรียนในวิชาเอกที่เลือกเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และ ผลสอบความถนัดทางวิชาชีพหรือวิชาการ ( PAT) วิชาวัดแววความเป็นครู PAT ภาษาอังกฤษ และคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวนหน่วยกิตที่ต้องเรียนคือ 156 หน่วยกิต นอกจากนี้ในช่วง 4 ปีแรกต้องเรียนวิชาวิจัยขั้นพื้นฐานและวิจัยเพื่อพัฒนา การเรียนการสอน ขณะที่รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาวิชาเอกในปีที่ 5 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย สำหรับอาจารย์ประจำหลักสูตรต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบ เท่า หรือดำรงตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ในสาขาวิชานั้นหรือสาขา ที่สัมพันธ์กัน และต้องมีประสบการณ์การสอนไม่น้อยกว่า 5 ปี
“การออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่ดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของ ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการโครงการฯไปสำรวจความพร้อมของ สถาบันที่เสนอรายชื่อว่ามีความพร้อมในการผลิตครูในหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตรดังกล่าว ว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมถึงสำรวจความพร้อมของบุคลากรเพื่อจะได้เตรียมการว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นครูของครูได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 21 มกราคม 2554
นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การสร้างครูประจำชั้น เพื่อสอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยขึ้นไป โดยผู้เรียนจะได้รับการบ่มเพาะความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ด้านการศึกษา และศาสตร์วิชาเฉพาะตลอดหลักสูตร สำหรับผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า มี GPAX และผลการเรียนในวิชาเอกที่เลือกเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และ ผลสอบความถนัดทางวิชาชีพหรือวิชาการ ( PAT) วิชาวัดแววความเป็นครู PAT ภาษาอังกฤษ และคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวนหน่วยกิตที่ต้องเรียนคือ 156 หน่วยกิต นอกจากนี้ในช่วง 4 ปีแรกต้องเรียนวิชาวิจัยขั้นพื้นฐานและวิจัยเพื่อพัฒนา การเรียนการสอน ขณะที่รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาวิชาเอกในปีที่ 5 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย สำหรับอาจารย์ประจำหลักสูตรต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบ เท่า หรือดำรงตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ในสาขาวิชานั้นหรือสาขา ที่สัมพันธ์กัน และต้องมีประสบการณ์การสอนไม่น้อยกว่า 5 ปี
“การออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่ดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของ ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการโครงการฯไปสำรวจความพร้อมของ สถาบันที่เสนอรายชื่อว่ามีความพร้อมในการผลิตครูในหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตรดังกล่าว ว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมถึงสำรวจความพร้อมของบุคลากรเพื่อจะได้เตรียมการว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นครูของครูได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 21 มกราคม 2554
ป้ายกำกับ:
สรุปแนวข้อสอบครู,
สอบครู2554,
สอบครูผู้ช่วย
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554
เทคนิคการสอบ
เทคนิคการสอบ
การเตรียมตัวก่อนสอบ
- ศึกษาและทบทวนบ่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ การดูหนังสือวินาทีสุดท้าย เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด
- อ่านสมุดที่จดบันทึกไว้อย่างตั้งใจ ขณะที่อ่านไปให้นึกถึงคำถามที่อาจจะมีขึ้นแล้วลองตอบ
- ทบทวนอย่างมีจุดประสงค์อยู่ในใจ การทบทวนชนิดเปิดสมุดอย่างสุ่ม จะไม่มีประโยชน์ แต่ให้ทบทวนหลักการ (concept) พื้นฐาน และจุดสำคัญของเนื้อหา
- ลองดูหนังสือทบทวนกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนคำถาม คำตอบ แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับการทบทวนวิธีนี้ ก็ควรอ่านทบทวนเฉพาะตนเอง
- ลองสอบถามรุ่นพี่ ๆ เพื่อทราบลักษณะการออกข้อสอบของอาจารย์ (ปรนัย, อัตนัย, ระยะเวลา) นอกจากนี้ ควรหาข้อสอบเก่า ๆ หรือสอบถามรุ่นพี่ว่าอาจารย์เ**ถามอะไรบ้าง หากมีข้อสอบเก่า ให้นักศึกษาลองฝึกตอบคำถามดูและควรต้องตอบภายในเวลาที่กำหนด (เหมือนเช่น การลองทำข้อสอบเก่าในการสอบเอ็นทรานซ์)
- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ ไม่ใช่ดูหนังสือจนสว่าง เพราะจะมีผลทำให้สมองของนักศึกษาทำงานได้ไม่เต็มที่
-1 สัปดาห์ก่อนกำหนดสอบไล่ ควรจะได้ตรวจสอบเกี่ยวกับวิชาสอบ วันเวลาที่สอบ สถานที่สอบให้แน่นอน มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไปสอบผิดวิชา ผิดวัน
- คืนก่อนสอบ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาจทบทวนอีกเล็กน้อย ไม่ใช่มาเริ่มอ่านสิ่งใหม่ ๆ ในคืนนี้
- อย่าเครียด ! ทำจิตใจให้สบาย ถ้านักศึกษาเตรียมตัวมาดีแล้ว ไม่ควรจะกังวลต่อสิ่งใด แต่หากเตรียมตัวไม่ดีพอ ความกังวลนี้จะยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก
- ในวันสอบ ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลา แต่อย่าไปถึงก่อนเวลามากเกินไปนัก
การเตรียมตัวก่อนสอบ
- ศึกษาและทบทวนบ่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ การดูหนังสือวินาทีสุดท้าย เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด
- อ่านสมุดที่จดบันทึกไว้อย่างตั้งใจ ขณะที่อ่านไปให้นึกถึงคำถามที่อาจจะมีขึ้นแล้วลองตอบ
- ทบทวนอย่างมีจุดประสงค์อยู่ในใจ การทบทวนชนิดเปิดสมุดอย่างสุ่ม จะไม่มีประโยชน์ แต่ให้ทบทวนหลักการ (concept) พื้นฐาน และจุดสำคัญของเนื้อหา
- ลองดูหนังสือทบทวนกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนคำถาม คำตอบ แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับการทบทวนวิธีนี้ ก็ควรอ่านทบทวนเฉพาะตนเอง
- ลองสอบถามรุ่นพี่ ๆ เพื่อทราบลักษณะการออกข้อสอบของอาจารย์ (ปรนัย, อัตนัย, ระยะเวลา) นอกจากนี้ ควรหาข้อสอบเก่า ๆ หรือสอบถามรุ่นพี่ว่าอาจารย์เ**ถามอะไรบ้าง หากมีข้อสอบเก่า ให้นักศึกษาลองฝึกตอบคำถามดูและควรต้องตอบภายในเวลาที่กำหนด (เหมือนเช่น การลองทำข้อสอบเก่าในการสอบเอ็นทรานซ์)
- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ ไม่ใช่ดูหนังสือจนสว่าง เพราะจะมีผลทำให้สมองของนักศึกษาทำงานได้ไม่เต็มที่
-1 สัปดาห์ก่อนกำหนดสอบไล่ ควรจะได้ตรวจสอบเกี่ยวกับวิชาสอบ วันเวลาที่สอบ สถานที่สอบให้แน่นอน มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไปสอบผิดวิชา ผิดวัน
- คืนก่อนสอบ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาจทบทวนอีกเล็กน้อย ไม่ใช่มาเริ่มอ่านสิ่งใหม่ ๆ ในคืนนี้
- อย่าเครียด ! ทำจิตใจให้สบาย ถ้านักศึกษาเตรียมตัวมาดีแล้ว ไม่ควรจะกังวลต่อสิ่งใด แต่หากเตรียมตัวไม่ดีพอ ความกังวลนี้จะยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก
- ในวันสอบ ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลา แต่อย่าไปถึงก่อนเวลามากเกินไปนัก
ป้ายกำกับ:
เตรียมสอบบรรจุ,
สรุปแนวข้อสอบครู,
สอบครูผู้ช่วย
วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554
ครูกระดานดำกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะเป็นอย่างไร?
เมื่อนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศว่า ปี 2554 เป็นปีแห่งคุณภาพครู ขณะที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อครูและนักเรียนมากขึ้น เด็กหลายคนเริ่มเรียนหนังสือจากแผ่นซีดี ครู-อาจารย์สอนลงคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะได้อะไร ???
ครูเรือจ้างที่เคยพาศิษย์นั่งเรือข้ามฝั่ง จะถูกลบออกจากสารบบหรือไม่ แล้วอนาคตเยาวชนของชาติจะไปในทิศทางใด "ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เข้ามาอิทธิพลต่อการเรียนการ สอนของครู ดร.มานะ กล่าวว่า ครูยุคใหม่จำเป็นต้องทันเทคโนโลยี และต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เรื่องการค้นคว้า หาข้อมูลใหม่ๆ เพราะเราสามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่จากต่างประเทศเร็วขึ้น ส่วนเทคนิคการนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ก็สามารถทำนักเรียนตื่นตาตื่นใจกับการสอนได้ โดยจะช่วยให้เด็กมีความสนใจและเรียนรู้ได้มากขึ้น แต่ครูยังต้องเรียนรู้ว่า เครื่องมือดังกล่าวมีทั้งคุณและโทษ
ส่วนกรณีที่จะทำให้ครูเป็นครูคุณภาพนั้น อ.นิเทศศาสตร์ เห็นว่า เมื่อสมัยก่อนครูก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถเป็นครูคุณภาพได้ โดยใช้หัวใจและใส่ใจในการสอน และตัวครูเองก็จะพัฒนาในการหาความรู้ตลอดเวลา ด้วยการไปหาหนังสือจากที่อื่นๆ มาเพิ่มเติมความรู้ของตน ก่อนที่จะนำไปสอนแก่เด็กๆ เทคโนโลยีช่วยเอื้อโอกาสเพิ่มเติมความรู้ให้กับครู ได้พัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น ทั้งนี้หากครูไม่มีใจ เทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยครูให้สอนได้ขึ้น ครูคุณภาพจึงอยู่ที่จิตสำนึกครูมากกว่า เทคโนโลยีเป็นที่ตัวเสริม
เมื่อถามว่า เด็กจะได้อะไรจากครูไฮเทค เชื่อว่า เด็กจะเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่มีใจเรียน มัวแต่เล่นเกม การมีคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการเรียนรู้ เทคโนโลยีจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วและ กว้างขึ้น
ขณะที่นางจารุณี สุทธิสวรรค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ จนสมควรได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการคุรุสภา ประจำปี 2553 ซึ่งสอนวิชานาฏศิลป์ กล่าวว่า การเป็นครูที่ดีต้องสามารถเติมเต็มผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ หากได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กได้ ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือในชนบท แต่ครูก็ไม่เคยคิดว่าการสอนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้สำหรับเด็กเลย เพราะเด็กในพื้นที่ใดหากได้รับการสอนที่ดี ครูก็จะสามารถดึงศักยภาพเขาออกมาได้ และสร้างให้เป็นคนดี คนเก่งได้เช่นกัน
เมื่อถามความคิดเห็นเรื่องเทคโนโลยีที่มีบทบาทกับการศึกษา ครูจารุณี บอกว่า เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญกับการศึกษา เพราะทุกวันนี้วิชานาฏศิลป์ก็ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต โดยเรียนรู้จากสิ่งที่เราสร้างให้ก่อนนำไปต่อยอดการศึกษาต่อไป
ส่วนการที่จะเปลี่ยนครูกระดานดำเป็นครูไฮเทค คุณครูนาฏศิลป์ เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถก้าวทันโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะซึมซับข้อมูล ที่ไม่ใช่แต่เพียงคอมพิวเตอร์อย่างเดียว โทรทัศน์เองก็มีส่วนช่วยได้ ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้รวดเร็วตามยุคข่าวสารเทคโนโลยี ถึงแม้จะไม่ได้จบคอมพิวเตอร์ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เด็กก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบรู้
ด้านนางภัทรพร อาษาดี ครูโรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นครูสอนวิชางานบ้าน ที่ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "ครูสอนดีเด่น" ประจำปี 2553 จากคุรุสภา กล่าวถึงแนวทางการสอนนักเรียนว่า ตนได้สอนและฝึกให้เด็กทำผลงานต่างๆ ทั้งโครงงานประดิษฐ์หลากหลายชนิด โดยผลงานทั้งหมดจะนำไปสู่ชุมชน และนำไปแข่งขันระดับจังหวัด ระดับประเทศต่อไป
ส่วนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน ที่ผ่านมาครูก็ต้องปรับตัวในการใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่แทรกเข้ามา และต้องใช้ให้เป็น ไม่เพียงแต่ดูอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เรายังต้องต่อยอดองค์ความรู้ให้กับเด็กๆ ทั้งในด้านการค้นคว้า การหาข้อมูล ซึ่งครูจะต้องพัฒนาตลอดเวลา ด้วยการทำสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดรับกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนสมัยใหม่ ที่จะต้องเรียนรู้จากสื่อที่ครูเป็นผู้ผลิต
"ทุกวันนี้ครูก็กลายเป็นครูไฮเทคไปแล้ว เช่นกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นองค์ความรู้ บางทีเด็กก็ได้แค่มอง แต่ถ้าครูเอาไปลงในคอมพิวเตอร์ มันจะทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากแผ่นซีดี หรือในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเด็กอาจจะนำกลับไปเรียนต่อที่บ้าน หรือเข้าไปอ่านในเว็บไซด์ต่างๆ ได้"
ทั้งนี้ ครูภัทรพร ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่า บางทีมันเหมือนดาบสองคม มีทั้งผลดีผลเสีย โดยผลเสียก็คือ หากใช้สื่ออินเตอร์เน็ตมาก จะทำให้เด็กเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนผลดีที่เราจะได้คือ โอกาสในการเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างเปิดกว้าง
นอกจากนี้ ครูดีเด่น ยังกล่าวถึงความคิดเห็นส่วนตัวว่า "ครูคุณภาพ ไม่ได้หมายความว่า ครูจะปล่อยให้เด็กอยู่กับความไฮเทคเพียงอย่างเดียว โดยที่ครูไม่ได้ดูแล ก็จะทำให้เด็กหลงทาง ใช้สื่อในทางที่ผิด ครูเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีขอบเขต ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นผลเสีย"
ครูเรือจ้างที่เคยพาศิษย์นั่งเรือข้ามฝั่ง จะถูกลบออกจากสารบบหรือไม่ แล้วอนาคตเยาวชนของชาติจะไปในทิศทางใด "ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เข้ามาอิทธิพลต่อการเรียนการ สอนของครู ดร.มานะ กล่าวว่า ครูยุคใหม่จำเป็นต้องทันเทคโนโลยี และต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เรื่องการค้นคว้า หาข้อมูลใหม่ๆ เพราะเราสามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่จากต่างประเทศเร็วขึ้น ส่วนเทคนิคการนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ก็สามารถทำนักเรียนตื่นตาตื่นใจกับการสอนได้ โดยจะช่วยให้เด็กมีความสนใจและเรียนรู้ได้มากขึ้น แต่ครูยังต้องเรียนรู้ว่า เครื่องมือดังกล่าวมีทั้งคุณและโทษ
ส่วนกรณีที่จะทำให้ครูเป็นครูคุณภาพนั้น อ.นิเทศศาสตร์ เห็นว่า เมื่อสมัยก่อนครูก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถเป็นครูคุณภาพได้ โดยใช้หัวใจและใส่ใจในการสอน และตัวครูเองก็จะพัฒนาในการหาความรู้ตลอดเวลา ด้วยการไปหาหนังสือจากที่อื่นๆ มาเพิ่มเติมความรู้ของตน ก่อนที่จะนำไปสอนแก่เด็กๆ เทคโนโลยีช่วยเอื้อโอกาสเพิ่มเติมความรู้ให้กับครู ได้พัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น ทั้งนี้หากครูไม่มีใจ เทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยครูให้สอนได้ขึ้น ครูคุณภาพจึงอยู่ที่จิตสำนึกครูมากกว่า เทคโนโลยีเป็นที่ตัวเสริม
เมื่อถามว่า เด็กจะได้อะไรจากครูไฮเทค เชื่อว่า เด็กจะเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่มีใจเรียน มัวแต่เล่นเกม การมีคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการเรียนรู้ เทคโนโลยีจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วและ กว้างขึ้น
ขณะที่นางจารุณี สุทธิสวรรค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ จนสมควรได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการคุรุสภา ประจำปี 2553 ซึ่งสอนวิชานาฏศิลป์ กล่าวว่า การเป็นครูที่ดีต้องสามารถเติมเต็มผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ หากได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กได้ ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือในชนบท แต่ครูก็ไม่เคยคิดว่าการสอนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้สำหรับเด็กเลย เพราะเด็กในพื้นที่ใดหากได้รับการสอนที่ดี ครูก็จะสามารถดึงศักยภาพเขาออกมาได้ และสร้างให้เป็นคนดี คนเก่งได้เช่นกัน
เมื่อถามความคิดเห็นเรื่องเทคโนโลยีที่มีบทบาทกับการศึกษา ครูจารุณี บอกว่า เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญกับการศึกษา เพราะทุกวันนี้วิชานาฏศิลป์ก็ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต โดยเรียนรู้จากสิ่งที่เราสร้างให้ก่อนนำไปต่อยอดการศึกษาต่อไป
ส่วนการที่จะเปลี่ยนครูกระดานดำเป็นครูไฮเทค คุณครูนาฏศิลป์ เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถก้าวทันโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะซึมซับข้อมูล ที่ไม่ใช่แต่เพียงคอมพิวเตอร์อย่างเดียว โทรทัศน์เองก็มีส่วนช่วยได้ ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้รวดเร็วตามยุคข่าวสารเทคโนโลยี ถึงแม้จะไม่ได้จบคอมพิวเตอร์ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เด็กก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบรู้
ด้านนางภัทรพร อาษาดี ครูโรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นครูสอนวิชางานบ้าน ที่ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "ครูสอนดีเด่น" ประจำปี 2553 จากคุรุสภา กล่าวถึงแนวทางการสอนนักเรียนว่า ตนได้สอนและฝึกให้เด็กทำผลงานต่างๆ ทั้งโครงงานประดิษฐ์หลากหลายชนิด โดยผลงานทั้งหมดจะนำไปสู่ชุมชน และนำไปแข่งขันระดับจังหวัด ระดับประเทศต่อไป
ส่วนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน ที่ผ่านมาครูก็ต้องปรับตัวในการใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่แทรกเข้ามา และต้องใช้ให้เป็น ไม่เพียงแต่ดูอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เรายังต้องต่อยอดองค์ความรู้ให้กับเด็กๆ ทั้งในด้านการค้นคว้า การหาข้อมูล ซึ่งครูจะต้องพัฒนาตลอดเวลา ด้วยการทำสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดรับกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนสมัยใหม่ ที่จะต้องเรียนรู้จากสื่อที่ครูเป็นผู้ผลิต
"ทุกวันนี้ครูก็กลายเป็นครูไฮเทคไปแล้ว เช่นกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นองค์ความรู้ บางทีเด็กก็ได้แค่มอง แต่ถ้าครูเอาไปลงในคอมพิวเตอร์ มันจะทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากแผ่นซีดี หรือในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเด็กอาจจะนำกลับไปเรียนต่อที่บ้าน หรือเข้าไปอ่านในเว็บไซด์ต่างๆ ได้"
ทั้งนี้ ครูภัทรพร ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่า บางทีมันเหมือนดาบสองคม มีทั้งผลดีผลเสีย โดยผลเสียก็คือ หากใช้สื่ออินเตอร์เน็ตมาก จะทำให้เด็กเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนผลดีที่เราจะได้คือ โอกาสในการเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างเปิดกว้าง
นอกจากนี้ ครูดีเด่น ยังกล่าวถึงความคิดเห็นส่วนตัวว่า "ครูคุณภาพ ไม่ได้หมายความว่า ครูจะปล่อยให้เด็กอยู่กับความไฮเทคเพียงอย่างเดียว โดยที่ครูไม่ได้ดูแล ก็จะทำให้เด็กหลงทาง ใช้สื่อในทางที่ผิด ครูเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีขอบเขต ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นผลเสีย"
ป้ายกำกับ:
เตรียมสอบบรรจุครูผู้ช่วย สพฐ.,
สรุปแนวข้อสอบครู,
สอบครูผู้ช่วย
วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554
เปิดสอบครูผู้ช่วย 2554
เปิดสอบครูพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554
นายก มล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ปีงบประมาณ 2554 ของ สพฐ. ว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ทำหนังสือ ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการใช้เงินเหลือจ่ายของ สพฐ. ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อการบรรจุบุคลากรทดแทนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าโครงการ เออร์ลี่รีไทร์ จำนวน 12,860 คน ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออัตราเกษียณอายุราชการปี 2552 จำนวน 4,160 อัตรา คืนตามมติ ครม. ที่ให้คืนอัตราเกษียณฯปกติทั้ง 100% แก่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องจากขาดแคลนครู
"เลขาธิการ กพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารอ เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรอัตราคืนแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แล้ว และได้มีการสำรวจข้อมูลของแต่ละเขตพื้นที่ฯ แล้วว่าขาดอัตราเท่าใด ดังนั้นหาก คปร.อนุมัติ สพฐ.จะเร่งจัดสรรให้ทันที เพื่อให้เขตพื้นที่ฯจัดสรรอัตราลงสถานศึกษาต่อไป" นายกมลกล่าวและว่า สำหรับอัตราที่เขตพื้นที่ฯได้คืนนั้น สามารถนำไปเปิดสอบใหม่หรือจะเรียกจากบัญชีเดิมมาบรรจุก็ได้ ทั้ง นี้จะมีการสำรวจอัตราว่างในสถานศึกษาทั่วประเทศอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 ก่อน จะมีการเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554 อย่าง ไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าจะ ได้อัตราคืนมาบรรจุทั้งจากเกษียณปกติและเออร์ลี่รีไทร์รวม 17,020 อัตรา เนื่องจากจะได้คืนอัตราเออร์ลี่รีไทร์ 100% เช่นกัน
นายก มล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ปีงบประมาณ 2554 ของ สพฐ. ว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ทำหนังสือ ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการใช้เงินเหลือจ่ายของ สพฐ. ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อการบรรจุบุคลากรทดแทนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าโครงการ เออร์ลี่รีไทร์ จำนวน 12,860 คน ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออัตราเกษียณอายุราชการปี 2552 จำนวน 4,160 อัตรา คืนตามมติ ครม. ที่ให้คืนอัตราเกษียณฯปกติทั้ง 100% แก่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องจากขาดแคลนครู
"เลขาธิการ กพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารอ เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรอัตราคืนแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แล้ว และได้มีการสำรวจข้อมูลของแต่ละเขตพื้นที่ฯ แล้วว่าขาดอัตราเท่าใด ดังนั้นหาก คปร.อนุมัติ สพฐ.จะเร่งจัดสรรให้ทันที เพื่อให้เขตพื้นที่ฯจัดสรรอัตราลงสถานศึกษาต่อไป" นายกมลกล่าวและว่า สำหรับอัตราที่เขตพื้นที่ฯได้คืนนั้น สามารถนำไปเปิดสอบใหม่หรือจะเรียกจากบัญชีเดิมมาบรรจุก็ได้ ทั้ง นี้จะมีการสำรวจอัตราว่างในสถานศึกษาทั่วประเทศอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 ก่อน จะมีการเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554 อย่าง ไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าจะ ได้อัตราคืนมาบรรจุทั้งจากเกษียณปกติและเออร์ลี่รีไทร์รวม 17,020 อัตรา เนื่องจากจะได้คืนอัตราเออร์ลี่รีไทร์ 100% เช่นกัน
ป้ายกำกับ:
ตัวอย่างข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย,
สรุปแนวข้อสอบครู,
สอบครูผู้ช่วย
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554
รัฐแจกทุนครูดีเด่นคนละหมื่น
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการจ่ายเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับครูที่มีการสอนดีเด่นทั่วประเทศ โดยคัดเลือกมาจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด แห่งละ 1 คน โดยจะได้รับเงินพิเศษคนละ 1 หมื่นบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการพัฒนาการศึกษา
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจะมีครูที่ได้รับเงินพิเศษประมาณ 1.2 แสนคน จากจำนวนทั้งหมด 4.5 แสนคน
นอกจากนี้ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการยังอยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นเงินเดือนครูเป็นการ ทั่วไปอีก 58% ผ่านการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินวิทยฐานะและเบี้ยเลี้ยง
“กระทรวงศึกษาฯ ยังมีงบประมาณเบิกจ่ายเหลื่อมปีเหลืออยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่น่าจะสามารถนำมาดำเนินนโยบายได้” แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการแถลงแผนเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ ก่อนจะนำมาตรการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 ม.ค.ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 จำนวน 62 คน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า รัฐบาลมีโครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอน เป็นหลัก โดยรัฐบาลจะดึงบุคคลเหล่านี้มา และให้แรงจูงใจ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของค่าตอบแทน
นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครู ที่สอนดี และทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ อีกทั้งภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจ และมีส่วนร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย
“ครูคือปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ขาด ดังนั้นไม่ว่าจะปรับปรุงระบบบริหาร ระบบงบประมาณ หรือหลักสูตรอะไรก็ตาม แต่ถ้าปัจจัยในส่วนของครูไม่เอื้อให้เกิดความสำเร็จนั้น การปฏิรูปไม่มีทางประสบความสำเร็จ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้นำคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554
วันนี้ เวลา 14.20 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้ ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554 และรับฟังโอวาทจากนายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารที่ได้เสียสละเวลาเดินทางมา พร้อมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามาโดย ตลอด ซึ่งการปฏิรูปการศึกษานั้น อาจจะฟังดูใหญ่โตมาก คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเปลี่ยนแปลงระบบ และไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังมีอีกหลายประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายที่มีการวิเคราะห์วิจัย อะไรเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของคุณภาพการศึกษา ซึ่งยังไม่มีที่ไหนค้นพบว่า ฉะนั้น การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปต้องให้ความสำคัญกับครู ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มต้นนโยบายคืนครูให้นักเรียน เพราะที่ผ่านมาได้มีเสียงสะท้อนว่ายังไม่พอ เพราะครูบางคนต้องวิ่งหลายโรงเรียน และความมั่นคงทางอาชีพการงานของครูยังไม่ลงตัวอีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการเรื่องเงินเดือนและกฎหมาย เมื่อสภาเปิดสมัยประชุมขึ้นมาจะผลักดันตรงนี้ต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันเรื่องการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลักอยู่ 2 โครงการ ดังนี้ 1) เรื่องเด็กด้อยโอกาสที่จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ปัญหาความก้าวหน้าของวิชาชีพครู ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำระบบผูกติดกับเรื่องวิทยฐานะและเรื่องการทำผลงาน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมาก อาจจะส่งกระทบต่อเรื่องการเรียนการสอนของนักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พยายามปรับเพื่อให้สอดรับกับเรื่องการเรียนการสอน มากขึ้นและที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในแผนการปฏิรูปคือ โครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอนเป็นหลัก โดยจะดึงบุคคลเหล่านี้มาและจะได้รับแรงจูงใจอาจจะเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่ เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครูที่สอนดีและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็ม ที่ อีกทั้ง ภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจและมีส่วน ร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจะมีครูที่ได้รับเงินพิเศษประมาณ 1.2 แสนคน จากจำนวนทั้งหมด 4.5 แสนคน
นอกจากนี้ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการยังอยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นเงินเดือนครูเป็นการ ทั่วไปอีก 58% ผ่านการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินวิทยฐานะและเบี้ยเลี้ยง
“กระทรวงศึกษาฯ ยังมีงบประมาณเบิกจ่ายเหลื่อมปีเหลืออยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่น่าจะสามารถนำมาดำเนินนโยบายได้” แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการแถลงแผนเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ ก่อนจะนำมาตรการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 ม.ค.ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 จำนวน 62 คน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า รัฐบาลมีโครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอน เป็นหลัก โดยรัฐบาลจะดึงบุคคลเหล่านี้มา และให้แรงจูงใจ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของค่าตอบแทน
นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครู ที่สอนดี และทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ อีกทั้งภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจ และมีส่วนร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย
“ครูคือปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ขาด ดังนั้นไม่ว่าจะปรับปรุงระบบบริหาร ระบบงบประมาณ หรือหลักสูตรอะไรก็ตาม แต่ถ้าปัจจัยในส่วนของครูไม่เอื้อให้เกิดความสำเร็จนั้น การปฏิรูปไม่มีทางประสบความสำเร็จ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้นำคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554
วันนี้ เวลา 14.20 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้ ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554 และรับฟังโอวาทจากนายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารที่ได้เสียสละเวลาเดินทางมา พร้อมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามาโดย ตลอด ซึ่งการปฏิรูปการศึกษานั้น อาจจะฟังดูใหญ่โตมาก คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเปลี่ยนแปลงระบบ และไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังมีอีกหลายประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายที่มีการวิเคราะห์วิจัย อะไรเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของคุณภาพการศึกษา ซึ่งยังไม่มีที่ไหนค้นพบว่า ฉะนั้น การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปต้องให้ความสำคัญกับครู ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มต้นนโยบายคืนครูให้นักเรียน เพราะที่ผ่านมาได้มีเสียงสะท้อนว่ายังไม่พอ เพราะครูบางคนต้องวิ่งหลายโรงเรียน และความมั่นคงทางอาชีพการงานของครูยังไม่ลงตัวอีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการเรื่องเงินเดือนและกฎหมาย เมื่อสภาเปิดสมัยประชุมขึ้นมาจะผลักดันตรงนี้ต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันเรื่องการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลักอยู่ 2 โครงการ ดังนี้ 1) เรื่องเด็กด้อยโอกาสที่จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ปัญหาความก้าวหน้าของวิชาชีพครู ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำระบบผูกติดกับเรื่องวิทยฐานะและเรื่องการทำผลงาน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมาก อาจจะส่งกระทบต่อเรื่องการเรียนการสอนของนักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พยายามปรับเพื่อให้สอดรับกับเรื่องการเรียนการสอน มากขึ้นและที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในแผนการปฏิรูปคือ โครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอนเป็นหลัก โดยจะดึงบุคคลเหล่านี้มาและจะได้รับแรงจูงใจอาจจะเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่ เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครูที่สอนดีและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็ม ที่ อีกทั้ง ภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจและมีส่วน ร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย
ป้ายกำกับ:
สอบครูผู้ช่วย
วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554
ครูยุคใหม่
ครูยุคใหม่ กำลังเป็นกระแสในสังคมที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์และคำถาม เช่น ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน? ทำไมต้องมีครูยุคใหม่? ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร? ครูยุคใหม่พัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?
คำตอบจากคำถามข้างต้น น่าจะเป็นดังนี้ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน?- ครูยุคใหม่ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการศึกษา
- ครูยุคใหม่ เป็นนักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ และนักวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
- ครูยุคใหม่ เป็นครูโดยจิตวิญญาณ มีจิตวิทยาและศิลปะในการสอนและการถ่ายทอดความรู้
- ครูยุคใหม่ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่
- ครูยุคใหม่ มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการเรียนการสอน
- ครูยุคใหม่ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และสังคม
ครูยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติข้างต้น จึงไม่ใช่เฉพาะครูใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงครูทุกคนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นครูเก่าหรือครูใหม่ คือครูยุคใหม่
ทำไมต้องมีครูยุคใหม่?คงต้องยอมรับเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ดังข้อมูลต่อไปนี้
ผลการประเมินของโครงการ Program for International Student Assessment (PISA) ที่ดำเนินการโดย Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ทำการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการทุก 3 ปี มีผลการประเมินการรู้เรื่อง(Literacy) ใน 3 ด้าน ในปี 2549 ดังนี้
- ด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศเกาหลีได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 556 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ 500
- ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematic Literacy) ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศจีน-ไทเป ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 549 คะแนนเฉลี่ยOECD คือ 500
- ด้านการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Science Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 421 ประเทศฟินแลนด์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 563 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ500 (แหล่งที่มา : โครงการ PISA ของ OECD)
ส่วนผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ปี2552 มีผลการสอบเฉลี่ยร้อยละ ดังนี้
- ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 38.58 ภาษาอังกฤษ 31.75 คณิตศาสตร์ 35.88 วิทยาศาสตร์ 38.67 สังคมศึกษา 33.91
- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาษาไทย 35.35 ภาษาอังกฤษ 22.54 คณิตศาสตร์ 26.04 วิทยาศาสตร์ 29.16 สังคมศึกษา 39.70
- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 46.47 ภาษาอังกฤษ 23.98 คณิตศาสตร์ 28.55 วิทยาศาสตร์ 31.03 สังคมศึกษา 36.01
(แหล่งที่มา : สถาบันทดสอบทางการศึกษา(องค์การมหาชน)
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ และ "การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนเกือบทุกครั้งยังน่าผิดหวัง"(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 14 พ.ค.2552)
ส่วนผลการวิจัยของ sir michael barber โดยMckinsey & Company พบว่า ประสบการณ์ของประเทศที่มีผลการประเมินสูงอยู่ในสิบอันดับแรกสรุปได้ถึง ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของระบบโรงเรียน 3 ประการ ดังนี้
1.การคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเป็นครู (Getting the right people to become teachers)
2.การพัฒนาให้เป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ(Developing them into effective instructors)
3.การประกันระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนทุกคน (Ensuring that the system is able to deliver the best possible instruction for every chilld)
การผลิตครูและพัฒนาครูยุคใหม่ตามนิยามข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร?- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาครูในระบบ ซึ่งเป็นครูประจำการที่มีจำนวนมากประมาณ 700,000 คน อาทิ ครู สพฐ. ประมาณ500,000 คน ครู สอศ. ประมาณ 50,000 คน ครูสช. ประมาณ 100,000 คน ครู อปท. ประมาณ50,000 คน เป็นต้น การจะพัฒนาครูในระบบสู่ความเป็นครูยุคใหม่ได้อย่างไร? คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาที่รับผิดชอบต้องดำเนินการ ทราบว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยมองการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเป็นองค์รวม โดยมีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้รับผิดชอบ
- การผลิตครูยุคใหม่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิรูปโดยการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและมี สิ่งจูงใจที่เหมาะสมโครงการครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นการผลิตครูเพื่อทดแทนครูที่ จะเกษียณอายุราชการของกระทรวงศึกษาธิการประมาณ 200,000 คน ตามมติ ครม. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 ครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นผลผลิตที่จะสนองตอบความเป็นครูยุคใหม่ในระบบการผลิตครู คุณภาพ
- ในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ทดแทนครูเกษียณอายุราชการ รัฐบาลได้เริ่มโครงการทุนครูยุคใหม่ระหว่างปี 2552-2561 โดยมีทุน 2 ประเภท ได้แก่ประเภทที่ 1 มีทุนการศึกษาและมีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) กับประเภทที่ 2 มีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) รวมทั้ง 2 ประเภท จำนวน 33,600 ทุน และอาจจะขยายจำนวนทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการรับทุนเต็มรูปแบบจะเริ่มในปีการศึกษา 2554 โดยมีหลักการดังนี้
คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา1.1 หลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี ผู้สมัครรับทุนต้อง
- มีคะแนนผลการเรียน ม.ปลาย เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00 และผลการเรียนในวิชาเอก (ถ้ามี) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
- มีคะแนนผลการสอบ O-NET, GAT, PAT อยู่ในกลุ่มสูงร้อยละสามสิบ (Top Thirty) ของกลุ่มผู้สอบในแต่ละปี
- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 400, computer based ไม่น้อยกว่า 97, internet based ไม่น้อยกว่า 32) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 3.5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.2 หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี (รับผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี) ผู้สมัครรับทุนต้อง
- มีคะแนนผลการเรียนเฉลี่ย และผลการเรียนวิชาเอกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 450, computer based ไม่น้อยกว่า 133, internet based ไม่น้อยกว่า 45) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 4 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ.รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.3 หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีจะมีนิสิต/นักศึกษารับทุนเป็นปีสุดท้าย กรณีที่มีทุนเหลือจากหลักสูตรปริญญาตรี ควบโท 6 ปี และหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี
เงื่อนไขระหว่างการศึกษา ต้องได้คะแนนรวมเฉลี่ยคะแนนวิชาเอกเฉลี่ย และคะแนนวิชาชีพครูเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.00 ทุกกลุ่ม
เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติทั้งก่อนเข้าศึกษา และระหว่างศึกษาอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณภาพที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเช่นมี คะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 500, computer based ไม่น้อยกว่า173, internet based ไม่น้อยกว่า 61) หรือ IELTS ไม่น้อยกว่า 5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาต่างประเทศ) จึงอาจเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราเงินเดือนสูงกว่าระดับปริญญาโทปกติได้
ครูยุคใหม่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?ครูยุคใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเท่านั้น ดังนั้น นอกจากครูยุคใหม่แล้ว นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลยังได้กำหนดการพัฒนาคุณภาพทั้งสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการบริหารจัดการใหม่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ตามปฏิญญาการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สอง (2552-2561) ที่มีเป้าหมายคือ
คนไทยยุคใหม่ มีสมรรถนะการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล (IMD), คนไทยใฝ่รู้ :สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, คนไทยใฝ่ดี : มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มีศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมและคนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น : มีความสามารถในการสื่อสารสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ริเริ่มสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการ ศึกษาด้วยอาทิ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งหลักสูตรการผลิตครู หลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาคุณภาพครูของครู ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นที่ร่วมการผลิตครูยุคใหม่
ผู้สนใจรับทุนครูพันธ์ใหม่ โปรดติดตามความคืบหน้าได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศรับสมัครผู้รับทุนครูพันธุ์ใหม่ ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2554
ครูยุคใหม่ จึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
คำตอบจากคำถามข้างต้น น่าจะเป็นดังนี้ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน?- ครูยุคใหม่ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการศึกษา
- ครูยุคใหม่ เป็นนักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ และนักวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
- ครูยุคใหม่ เป็นครูโดยจิตวิญญาณ มีจิตวิทยาและศิลปะในการสอนและการถ่ายทอดความรู้
- ครูยุคใหม่ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่
- ครูยุคใหม่ มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการเรียนการสอน
- ครูยุคใหม่ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และสังคม
ครูยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติข้างต้น จึงไม่ใช่เฉพาะครูใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงครูทุกคนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นครูเก่าหรือครูใหม่ คือครูยุคใหม่
ทำไมต้องมีครูยุคใหม่?คงต้องยอมรับเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ดังข้อมูลต่อไปนี้
ผลการประเมินของโครงการ Program for International Student Assessment (PISA) ที่ดำเนินการโดย Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ทำการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการทุก 3 ปี มีผลการประเมินการรู้เรื่อง(Literacy) ใน 3 ด้าน ในปี 2549 ดังนี้
- ด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศเกาหลีได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 556 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ 500
- ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematic Literacy) ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศจีน-ไทเป ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 549 คะแนนเฉลี่ยOECD คือ 500
- ด้านการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Science Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 421 ประเทศฟินแลนด์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 563 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ500 (แหล่งที่มา : โครงการ PISA ของ OECD)
ส่วนผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ปี2552 มีผลการสอบเฉลี่ยร้อยละ ดังนี้
- ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 38.58 ภาษาอังกฤษ 31.75 คณิตศาสตร์ 35.88 วิทยาศาสตร์ 38.67 สังคมศึกษา 33.91
- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาษาไทย 35.35 ภาษาอังกฤษ 22.54 คณิตศาสตร์ 26.04 วิทยาศาสตร์ 29.16 สังคมศึกษา 39.70
- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 46.47 ภาษาอังกฤษ 23.98 คณิตศาสตร์ 28.55 วิทยาศาสตร์ 31.03 สังคมศึกษา 36.01
(แหล่งที่มา : สถาบันทดสอบทางการศึกษา(องค์การมหาชน)
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ และ "การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนเกือบทุกครั้งยังน่าผิดหวัง"(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 14 พ.ค.2552)
ส่วนผลการวิจัยของ sir michael barber โดยMckinsey & Company พบว่า ประสบการณ์ของประเทศที่มีผลการประเมินสูงอยู่ในสิบอันดับแรกสรุปได้ถึง ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของระบบโรงเรียน 3 ประการ ดังนี้
1.การคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเป็นครู (Getting the right people to become teachers)
2.การพัฒนาให้เป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ(Developing them into effective instructors)
3.การประกันระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนทุกคน (Ensuring that the system is able to deliver the best possible instruction for every chilld)
การผลิตครูและพัฒนาครูยุคใหม่ตามนิยามข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร?- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาครูในระบบ ซึ่งเป็นครูประจำการที่มีจำนวนมากประมาณ 700,000 คน อาทิ ครู สพฐ. ประมาณ500,000 คน ครู สอศ. ประมาณ 50,000 คน ครูสช. ประมาณ 100,000 คน ครู อปท. ประมาณ50,000 คน เป็นต้น การจะพัฒนาครูในระบบสู่ความเป็นครูยุคใหม่ได้อย่างไร? คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาที่รับผิดชอบต้องดำเนินการ ทราบว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยมองการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเป็นองค์รวม โดยมีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้รับผิดชอบ
- การผลิตครูยุคใหม่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิรูปโดยการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและมี สิ่งจูงใจที่เหมาะสมโครงการครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นการผลิตครูเพื่อทดแทนครูที่ จะเกษียณอายุราชการของกระทรวงศึกษาธิการประมาณ 200,000 คน ตามมติ ครม. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 ครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นผลผลิตที่จะสนองตอบความเป็นครูยุคใหม่ในระบบการผลิตครู คุณภาพ
- ในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ทดแทนครูเกษียณอายุราชการ รัฐบาลได้เริ่มโครงการทุนครูยุคใหม่ระหว่างปี 2552-2561 โดยมีทุน 2 ประเภท ได้แก่ประเภทที่ 1 มีทุนการศึกษาและมีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) กับประเภทที่ 2 มีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) รวมทั้ง 2 ประเภท จำนวน 33,600 ทุน และอาจจะขยายจำนวนทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการรับทุนเต็มรูปแบบจะเริ่มในปีการศึกษา 2554 โดยมีหลักการดังนี้
คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา1.1 หลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี ผู้สมัครรับทุนต้อง
- มีคะแนนผลการเรียน ม.ปลาย เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00 และผลการเรียนในวิชาเอก (ถ้ามี) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
- มีคะแนนผลการสอบ O-NET, GAT, PAT อยู่ในกลุ่มสูงร้อยละสามสิบ (Top Thirty) ของกลุ่มผู้สอบในแต่ละปี
- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 400, computer based ไม่น้อยกว่า 97, internet based ไม่น้อยกว่า 32) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 3.5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.2 หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี (รับผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี) ผู้สมัครรับทุนต้อง
- มีคะแนนผลการเรียนเฉลี่ย และผลการเรียนวิชาเอกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 450, computer based ไม่น้อยกว่า 133, internet based ไม่น้อยกว่า 45) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 4 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ.รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.3 หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีจะมีนิสิต/นักศึกษารับทุนเป็นปีสุดท้าย กรณีที่มีทุนเหลือจากหลักสูตรปริญญาตรี ควบโท 6 ปี และหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี
เงื่อนไขระหว่างการศึกษา ต้องได้คะแนนรวมเฉลี่ยคะแนนวิชาเอกเฉลี่ย และคะแนนวิชาชีพครูเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.00 ทุกกลุ่ม
เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติทั้งก่อนเข้าศึกษา และระหว่างศึกษาอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณภาพที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเช่นมี คะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 500, computer based ไม่น้อยกว่า173, internet based ไม่น้อยกว่า 61) หรือ IELTS ไม่น้อยกว่า 5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาต่างประเทศ) จึงอาจเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราเงินเดือนสูงกว่าระดับปริญญาโทปกติได้
ครูยุคใหม่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?ครูยุคใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเท่านั้น ดังนั้น นอกจากครูยุคใหม่แล้ว นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลยังได้กำหนดการพัฒนาคุณภาพทั้งสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการบริหารจัดการใหม่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ตามปฏิญญาการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สอง (2552-2561) ที่มีเป้าหมายคือ
คนไทยยุคใหม่ มีสมรรถนะการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล (IMD), คนไทยใฝ่รู้ :สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, คนไทยใฝ่ดี : มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มีศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมและคนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น : มีความสามารถในการสื่อสารสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ริเริ่มสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการ ศึกษาด้วยอาทิ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งหลักสูตรการผลิตครู หลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาคุณภาพครูของครู ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นที่ร่วมการผลิตครูยุคใหม่
ผู้สนใจรับทุนครูพันธ์ใหม่ โปรดติดตามความคืบหน้าได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศรับสมัครผู้รับทุนครูพันธุ์ใหม่ ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2554
ครูยุคใหม่ จึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
ป้ายกำกับ:
ครูยุคใหม่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)