วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วย

ไขขในช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปิดรับสมัครสอบ แข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี พ.ศ.2554 จึงขอนำกรณีข้อหารือที่มีมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ มานำเสนอดังนี้

คำถามข้อที่ 1 จากหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ศธ 0206.6/ว 2 ลงวันที่ 27 เมษายน 2553 ข้อ 7 ที่กำหนดว่า"ปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามที่บรรจุไว้ในประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย คำว่า"ไม่หลังวันเปิดรับสมัครวันสุดท้าย" หมายความว่าอย่างไร

ตอบหมายถึง ต้องได้รับอนุมัติภายในวันที่ 10 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย

คำถามข้อที่ 2 เคยได้ยินว่ามีการผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบกรณีการยื่นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้สามารถยื่นหนังสือรับรองแทนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่อนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่

ตอบ ก.ค.ศ.ผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบแข่งขันที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เฉพาะการสอบแข่งขันฯ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2553 เท่านั้น สำหรับการรับสมัครสอบแข่งขันฯ ในปี พ.ศ.2554 นี้ ผู้สมัครสอบแข่งขันฯ ไม่สามารถนำหนังสือรับรองสิทธิ ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน หรือเอกสารอื่นใดที่มิใช่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงมายื่นสมัครสอบ

คำถามข้อที่ 3 ปัจจุบันรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน มีคุณวุฒิด้านการศึกษา มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ในครั้งนี้ได้หรือไม่

ตอบ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ ถ้ามีคุณวุฒิและสาขาวิชาเอกตรงตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้องการ แต่จะต้องมีหนังสืออนุญาตจากผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้สมัครสอบแข่ง ขัน และยินยอมให้ย้ายหรือโอนโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อสอบแข่งขันได้

คำถามข้อที่ 4 จะตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรอง สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้จากที่ ใด

ตอบ ผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ สามารถตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาได้จากเว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ. ทาง www.moe.go.th/webtcs หรือสอบถามทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2280-2840 กรณีตรวจสอบแล้วพบว่า ก.ค.ศ.ยังไม่ได้รับรองคุณวุฒิ ให้แจ้งสถาบันการศึกษาเสนอให้ ก.ค.ศ.รับรองคุณวุฒิโดยด่วน เพื่อให้ทันการรับสมัครสอบวันสุดท้าย

หวังว่าผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็น ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย จะได้รับความกระจ่างในประเด็นต่างๆ ที่นำมาเสนอในวันนี้และหากมีข้อสงสัยประการใดเป็นการเพิ่มเติมสามารถ โทรศัพท์สอบถามเข้ามาได้ที่หมายเลข 0-2280-2835


ที่มา - หนังสือพิมพ์มติชน
บรรจุเป็นครูผู้ช่ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วยวย

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมื่อครูขาดแคลน ..ครูขาดคุณภาพ.. คุณภาพเด็กจะเป็นอย่างไร?

ความสำคัญของครูกับการพัฒนาบุคลากรของ ชาตินั้น นับว่ามีความสำคัญยิ่ง ด้วยคุณภาพชีวิตเด็กคงไม่ใช่อยู่แค่ความรู้เท่าทันวิทยาการอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการพัฒนาการทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เป็น “คนดี คนเก่ง มีความสุข” เมื่อดูจากภารกิจของการศึกษาที่เป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ มีศักยภาพความพร้อมแตกต่างกันทั้งบริบทส่วนตัวและปัจจัยรอบข้างแล้ว การจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ก็ คงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีเครื่องมือ สื่อ หรืออุปกรณ์ใดที่จะมีประสิทธิภาพเกินครูไปได้


แม้ทุกฝ่ายจะเข้าใจหรือรับรู้ถึงความสำคัญของครูกับการพัฒนาเด็กอย่างดียิ่ง แล้วก็ตาม แต่ปัญหาการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับครูก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่เห็นอยู่ก็คงหนีไม่พ้น ปัญหาครูขาดแคลน และ ปัญหาครูขาดคุณภาพ นั่นเอง


สำหรับปัญหาครูขาดแคลนนั้น พูดกันเมื่อไรก็จะเจอปัญหาทุกครั้ง เพราะเป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน แต่ไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง จนกลายเป็นดินพอกหางหมูใหญ่ขึ้นทุกขณะ แม้ขณะนี้โลกจะพัฒนาเข้าสู่ทศวรรษที่ 21 เป็นโลกยุคไร้พรมแดน เกิดความก้าวหน้าสารพัดด้าน แต่คุณภาพชีวิตเด็กไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้วมเตี้ยมไปได้ไม่ถึงไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยังขาดความพร้อมอยู่โดยเฉพาะ ความพร้อมของจำนวนครูที่จะมาสอนเด็กนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ เลขาธิการ กพฐ. ได้ออกมาบอกว่า ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ยังขาดแคลนครูสาขาต่าง ๆ กว่า 60,000 อัตรา ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายว่าจะพัฒนาบุคลากร ของชาติให้เข้าสู่พลเมืองโลก แต่ยังขาดแคลนครูที่จะดำเนินงานอยู่มากมายขนาดนั้น


เมื่อโรงเรียนขาดครูผู้สอน ย่อมส่งผล กระทบต่อคุณภาพเด็กและการดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 13,000 แห่ง ที่ยังขาดแคลนครูอย่างหนักซึ่งความขาดแคลนที่ว่านี้คงไม่ใช่แค่ไม่มีครูพอ สอนตามครบทุกสาขาวิชาเอก เท่านั้น แค่ขอให้มีครูสอนครบทุกชั้นก็ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนนักเรียนมีแต่จะเพิ่มขึ้นขณะที่จำนวนครูมีแต่จะลดลง ทำให้ครูมีไม่เพียงพอกับการสอนทุกวิชาเอก ซึ่งหากรวมปัญหาขาดแคลนครูในหลายลักษณะที่ว่านี้แล้ว เมื่อสำรวจเป็นรายโรงเรียน น่าจะขาดครูเป็นหลักแสนราย ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าตอนนี้โรงเรียนขนาดใหญ่ที่พอมีกำลังด้านงบประมาณก็จะจัดหาครู อัตราจ้างเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขด้วยวิธีดังกล่าวได้ นอกจากจะรอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้สถานเดียว


จริงแล้วที่มาของปัญหาครูขาดแคลนก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็มาจากครูโรงเรียนขนาดเล็กขอย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งการย้ายที่ว่านี้ก็มีทั้ง การขอไปช่วยราชการก่อน และการโยกย้ายปกติประจำปี ที่ในอดีตการขอย้ายจะไม่ยุ่งยากเช่นปัจจุบัน แค่มีเวลาปฏิบัติงานในพื้นที่ตามหลักเกณฑ์ คือ ย้ายภายในอำเภอเดียวกันใช้เวลาแค่ปีเดียว ระหว่างจังหวัดใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็มีสิทธิยื่นเรื่องขอย้ายได้ และที่สำคัญหากมีเส้นสายด้วยแล้ว แค่พ้นทดลองราชการ 6 เดือน ก็สามารถขอไปช่วยราชการต่างโรงเรียนได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมครูจึงไปกองรวมกันที่โรงเรียนในเมือง และโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่กันดารห่างไกลขาดแคลนครู พอมาถึงปัจจุบัน การขอไปช่วยราชการหรือการโยกย้ายอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ต้องมาเจอกับโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเข้าให้อีก ทำให้แค่ช่วง 3-4 ปี ของการดำเนินการ มีครูหายออกจากระบบเกือบแสนราย ยิ่งการดำเนินการช่วงแรกไม่มีการคืนอัตราให้ ก็เหมือนไปซ้ำเติมความขาดแคลนครูของโรงเรียนขนาดเล็กเข้าไปอีก หรือแม้แต่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน


เมื่อโรงเรียนมีครูไม่พอสอน และโรงเรียนต้องมาเจอสารพัดงาน ที่ต้นสังกัดหรือหน่วยงานนอกสังกัดส่งมาให้ดำเนินการ แถมมีกิจกรรม โครงการ ที่ดึงครูออกจากโรงเรียน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว การพัฒนาเด็กก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ครูที่พอมีอยู่หรือเหลืออยู่ ก็จะแก้ปัญหาโดยจัดสอนเฉพาะกลุ่มวิชาหลัก ๆ เพื่อให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยการรวมชั้นเรียนสำหรับนักเรียนระดับใกล้เคียง อะไรทำนองนั้น เมื่อสภาพการณ์เป็นไปเช่นนี้ความหวังที่จะเห็นเด็กได้รับการพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพทุกด้านนั้นจึงเป็นไปได้แค่นโยบายที่อยู่ในตัวหนังสือเท่านั้น


ส่วนการแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ดำเนินกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยวิธีการจัดหาครูอัตราจ้างรายเดือนเข้าไปทดแทนบางส่วนนั้น ก็คงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ เพราะเป็นการไปช่วยสอนแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งตามงบประมาณที่ได้รับมา ส่วนนี้หากมองถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาเด็ก อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ครูอัตราจ้างที่ต้องไปสอนเด็กชาวไทยภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้ภาษาตามบรรพบุรุษ พูดภาษาไทยไม่ได้ ครูอัตราจ้างเข้าไปในพื้นที่ใหม่ในเวลา 3-4 เดือน เชื่อได้เลยว่าจะไม่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขาได้เช่นกัน ทำให้การสื่อสารกับการสอนเด็กเป็นไปด้วยความยากลำบากเป็นแน่ แต่พอครูเริ่มรู้และพูดภาษาท้องถิ่นสื่อสารกับเด็กได้บ้าง ก็หมดงบประมาณการจ้าง ต้องรองบประมาณใหม่และจ้างครูอัตราจ้างคนใหม่ไปแทน ปัญหาเดิมก็จะวนกลับมาให้เห็นเช่นนี้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กที่เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นต้นไปจำนวนไม่น้อยที่ยังอ่านไม่ได้ หรือไม่คล่องอยู่ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยที่ว่ามาแล้วนั่นเอง


ส่วนปัญหาคุณภาพครู ในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับ เด็กได้ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยครูเก่าที่ว่ามาจากผู้เรียนเก่ง มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูตั้งแต่แรกเริ่มและมีประสบการณ์จัดการเรียนรู้ เริ่มหมดวาระการดำรงอยู่ในอาชีพราชการด้วยการเกษียณอายุราชการทั้งภาคปกติ และเออร์ลี่รีไทร์ ปีละเป็นหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มอ่อนล้ากับจำนวนงานที่มีเพิ่มมาให้ทำ มากกว่างานสอน หรือครูบางคนก็ก้าวได้ไม่ทันกับวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงยังคงใช้ประสบการณ์สอนแบบเดิม ๆ อยู่ ส่วนครูที่บรรจุใหม่ จำนวนไม่น้อยมาจากกลุ่มที่ไม่ได้สนใจวิชาชีพครูมาแต่แรก แต่ด้วยไม่สามารถหาที่เรียนตามความสนใจได้ที่สุดก็มาลงที่ครู จึงขาดอุดมการณ์และมีเจตคติเกี่ยวกับวิชาชีพครูในทางบวกไม่มากนัก ยิ่งหากไม่สนใจกับการพัฒนาตนเองในสาขาวิชาชีพนี้ด้วยแล้ว การจัดการเรียนรู้ก็จะกลายเป็นการสอนตามตำรา หรือสอนเนื้อหาในหนังสือไปในที่สุด


เมื่อการจัดการศึกษาของชาติ แค่จะหาผู้ที่จะเป็นผู้นำพาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ ยังมีปัญหาอยู่มากมายตั้งแต่แรกเริ่มเสียแล้ว ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ในเมืองก็คงพอทำเนา เพราะแม้จะขาดแคลนครูอยู่บ้างก็คงพอมีรายได้ของโรงเรียนมาจัดจ้างครูได้เอง หรือปัญหาคุณภาพครูก็ยังพอหาทางพัฒนาเพิ่มเติมกันได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ของลูกหลานผู้คนระดับราก หญ้าแล้วคงยากแก่การแก้ไขด้วยตนเอง ทั้งปัญหาขาดแคลนครูและครูขาดคุณภาพ ด้วยไม่มีปัจจัยเพียงพอนั่นเอง ทำให้ปัญหาจึงยังคงอยู่กับโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนครู ที่บางโรงเรียนมีครูคนเดียวต้องสอนครบทุกชั้นทุกวิชา หรือครู 1 คน ต้องสอนหลายชั้น หรือหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทำให้โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้หรือได้รับการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างเต็มศักยภาพเป็นไปได้น้อย จึงไม่ไปต้องสงสัยเลยว่าทำไม ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโดย สมศ.ในรอบแรกจึงออกมาว่ามีโรงเรียนที่ยังอยู่ในอาการโคม่ามีมากกว่า 15,000 แห่ง ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะสามารถพัฒนาจนผ่านการประเมินได้บ้างแต่ก็คงไม่ได้หมาย ความว่าโรงเรียนเหล่านั้นสามารถพัฒนาเด็กจนเกิดคุณภาพตามมาตรฐานกลาง ที่กำหนดไว้ แต่น่าจะเป็นการผ่านตามบริบทกับปัญหาที่ประสบอยู่มากกว่า


ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะ ต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว ด้วยเด็กส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องอาศัยเรียนอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก หากโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอนเด็กเหล่านั้นจะเดินตามทันได้อย่างไร ยิ่งเป้าหมายการเดินแบบก้าวกระโดด มุ่งสู่สากล แต่เด็กส่วนใหญ่ขาดพื้นฐานแม้แต่การเดินแล้วจะก้าวกระโดดทันเด็กในเมืองได้ อย่างไร หากคิดพัฒนาไปข้างหน้าจนลืมมองข้างหลังการเกิดช่องว่างในคุณภาพชีวิตเด็กใน เมืองกับเด็กชนบทก็ยิ่งจะกลายไปเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้ ห่างกันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เข้าไปอีก ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ว่านี้ ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า “ครูยังเป็นปัจจัยหลักและมีความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอยู่” และที่สำคัญต้องเข้าใจถึงบริบทการปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่าง กัน ไม่ใช่มองไปคนละทิศละทางอย่างที่เป็นมา ตัวอย่างเช่น เรื่องของจำนวนครู ซึ่งทาง กพร. ก็ยังมองแต่ในภาพรวม จึงเห็นว่าครูในปัจจุบันมีจำนวนเพียงพอ ทั้งนี้ก็ด้วยไปยึดอยู่กับเกณฑ์ เอ ดี บี ที่ใช้อัตราส่วนครูต่อเด็ก 1 : 25 คน ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับโรงเรียนในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ โรงเรียนขนาดเล็ก เพราะหากคิดตามสูตรดังกล่าวนี้แล้ว เกิดโรงเรียนนั้นมีเด็กแค่ 50 คน มีครู 2 คน จะถือว่าครูพอดีเกณฑ์ แต่ในทางปฏิบัติจริงโรงเรียนนั้นต้องเปิดสอน 6 ชั้นและทุกชั้นจะต้องสอนครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กับอีก 1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นี่ขนาดยังไม่รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ส่งมาให้ทำ หรือ ถูกสั่งให้ออกไปอบรม สัมมนา ร่วมกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วครู 2 คนจะปฏิบัติงานอย่างไร เพราะบางโรงเรียนทุกวันนี้จะหาครูเหลือเฝ้าเด็กก็แทบจะไม่มี หรือกรณีที่ว่าครูส่วนใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ในเมืองจนเกินเกณฑ์ก็จริง แต่การที่จะเกลี่ยครูที่ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนอยู่โรงเรียนในเมืองไปแล้ว ให้ไปอยู่โรงเรียนกันดารห่างไกล ถามว่าจะทำได้อย่างไร หรือใครจะกล้าทำ เพราะครูไม่ใช่เม็ดดิน เม็ดทราย ที่อยากจะกวาดไปอยู่ตรงไหนก็ได้เสียเมื่อไร หรือหากกล้าทำก็คงถูกฟ้องร้องกันไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่


เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จะมัวให้โรงเรียนขาดแคลนครูต้องรอให้ครูจากโรงเรียน ที่มีครูเกินเกณฑ์เกษียณอายุราชการแล้วค่อยตัดตำแหน่งไปให้นั้นคงไม่ทันเวลา เพราะเด็กที่ต้องผ่านระบบการศึกษาไปเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นแต่ละปีมีอยู่ หลายล้านคน การที่ปล่อยให้พื้นฐานการเรียนรู้หรือพื้นฐานคุณภาพชีวิตถูกพัฒนาเป็นไปตาม ยถากรรมเช่นนี้ อนาคตของบุคลากรของชาติและประเทศชาติ จะเป็นเช่นไร


ดังนั้นการแก้ปัญหาครูขาดแคลนจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องถือว่าเป็น ปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่ามัววิตกเกินเหตุว่าหากเพิ่มจำนวนครูแล้ว งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับมาจะหมดไปกับเงินเดือนของครูจนไม่เหลือ งบลงทุน เพราะงานจัดการศึกษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กนั้นครูคือผู้ดำเนินการทุก ส่วนถึงตัวเด็กโดยตรง ไม่เหมือนกับข้าราชการประเภทอื่น ๆ ที่ภารกิจอาจแตกต่างไป ดังนั้นงบประมาณที่นำมาจัดหาครูและพัฒนาครูนั่นแหละคือ การลงทุนเพื่อการศึกษาที่ตรงจุดที่สุดแล้ว จะบอกให้.

ครูเฮ! "วุฒิสภา" ใช้เวลาแค่ 10 นาที ผ่านสามวาระรวดร่าง กม.ขึ้นเงินเดือนครู ไม่เกิน 10%

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเอกฉันท์ 71 เสียง เห็นชอบในวาระ 3 ของร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที โดยมีการเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาในวาระ 2 ซึ่งไม่มี ส.ว.ในฐานะกรรมาธิการคนใด ติดใจหรือให้แก้ไขถ้อยคำในกฎหมายแม้แต่มาตราเดียว ขณะที่ภายในบริเวณรัฐสภาได้มีกลุ่มครูจากต่างจังหวัดมาร่วมฟังการพิจารณาของ วุฒิสภาในครั้งนี้ด้วย

สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ มาตรา 5 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเงินเดือนขั้นต่ำสูง เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มี ความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความจำเป็นไม่เกิน 10% ของเงินเดือน ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้วุฒิสภาจะส่งร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาให้สภาผู้แทนราษฎรรับทราบและดำเนินการ ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ

หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ

ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับกำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคล เข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยจะมีการประกาศรับสมัครระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-3 เมษายน 2554 รับสมัครระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน 2554 ดำเนินการสอบแข่งขันระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2554 นั้น

สำหรับวันนี้ จะขอชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการสอบแข่งขันฯ เพื่อให้ผู้ที่สนใจที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมความพร้อมในการสอบแข่งขันฯ ซึ่งการสอบจะมี3 ภาค ดังนี้

ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ด้วยวิธีการสอบข้อเขียน โดยคำนึงถึงระดับความรู้ ความสามารถที่ต้องการของตำแหน่ง ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานตำแหน่ง ซึ่งจะมีการสอบ 3 ส่วน คือ

1) ความรอบรู้ (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องสังคมเศรษฐกิจ การเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น และกฎหมาย (พระราชบัญญัติ) ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ

2) ความสามารถทั่วไป (50 คะแนน) ทดสอบความรู้ ความสามารถด้านตัวเลข ความสามารถด้านภาษาไทย และความสามารถด้านเหตุผล

3) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องวินัย และการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มาตรฐานวิชาชีพจรรยาบรรณวิชาชีพ และสมรรถนะวิชาชีพ

ภาค ข ความรู้ ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง(คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ทดสอบ 2 ส่วน คือ

1) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาการศึกษา (75 คะแนน) ทดสอบด้วยวิธีการสอบข้อเขียนในเรื่องหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว การพัฒนาผู้เรียน การบริหารจัดการชั้นเรียนการวิจัยทางการศึกษา สื่อ นวัตกรรม การวัดและประเมินผลการศึกษา

2) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาเอก (75 คะแนน)ทดสอบโดยวิธีการสอบข้อเขียนและหรือภาคปฏิบัติเกี่ยวกับความรู้ใน เนื้อหากลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก

ภาค ค ความเหมาะสมกับวิชาชีพ (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) ประเมินโดยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต ตรวจสอบเอกสาร หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม จากประวัติส่วนตัวและการศึกษา การประกอบคุณความดี บุคลิกภาพ ท่วงทีวาจาการมีปฏิภาณไหวพริบ เจตคติ และอุดมการณ์

สำหรับเกณฑ์การตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้สอบแข่งขันได้ ผู้นั้นจะต้องได้คะแนนแต่ละภาคไม่น้อยกว่าร้อยละ 60

ขอให้ผู้สนใจจะสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมตัวและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานการสมัครสอบแข่งขัน ให้ครบถ้วนก่อนวันรับสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร หนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ใบระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript)ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ (เช่น สภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นต้น) ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย