tag:blogger.com,1999:blog-84724042685174251172024-02-20T09:50:26.413-08:00สอบครูผู้ช่วย แนวข้อสอบบรรจุครู เตรียมตัวสอบครู สพฐ.ยินดีต้อนเราเข้าสู่เส้นทางสายครู ผู้มีความฝันมุ่งมั่นแรงกล้า เราจะจุดประกายฝันของคุณ นำคุณไปสู่ความฝันความสำเร็จสู่การเป็นครูอย่างแท้จริง เตรียมความพร้อมก่อนการสอบ คู่มือการสอบบรรจุครู การบรรจุเป็นครูผู้ช่วย อ่านหนังสืออย่างไรถึงจะสอบได้ ติวกับใครถึงจะรู้ลึกเจะลึกถึงข้อสอบแน่นอน นำความรู้และประสบการณ์จากการที่เคยเป็นผู้เข้าสอบจนบัดนี้ประสบความสำเร็จได้แล้ว อยากให้ทุกท่านที่อ่านแล้วสอบบรรจุครูให้ได้ทุกคน อ่านแนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย สอบบรรจุครู แนวข้อสอบครูผู้ช่วยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.comBlogger24125tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-87546452907410926142011-03-12T07:10:00.000-08:002011-03-12T07:13:09.179-08:00ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วย<b><span style="font-size:100%;color:#ffffff;">ไขข</span></b>ในช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปิดรับสมัครสอบ แข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี พ.ศ.2554 จึงขอนำกรณีข้อหารือที่มีมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ มานำเสนอดังนี้<br /> <br /> คำถามข้อที่ 1 จากหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ศธ 0206.6/ว 2 ลงวันที่ 27 เมษายน 2553 ข้อ 7 ที่กำหนดว่า"ปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามที่บรรจุไว้ในประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย คำว่า"ไม่หลังวันเปิดรับสมัครวันสุดท้าย" หมายความว่าอย่างไร<br /> <br /> ตอบหมายถึง ต้องได้รับอนุมัติภายในวันที่ 10 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย<br /> <br /> คำถามข้อที่ 2 เคยได้ยินว่ามีการผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบกรณีการยื่นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้สามารถยื่นหนังสือรับรองแทนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่อนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงได้ ใช่หรือไม่<br /> <br /> ตอบ ก.ค.ศ.ผ่อนผันให้ผู้สมัครสอบแข่งขันที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เฉพาะการสอบแข่งขันฯ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2553 เท่านั้น สำหรับการรับสมัครสอบแข่งขันฯ ในปี พ.ศ.2554 นี้ ผู้สมัครสอบแข่งขันฯ ไม่สามารถนำหนังสือรับรองสิทธิ ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน หรือเอกสารอื่นใดที่มิใช่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูฉบับจริงมายื่นสมัครสอบ<br /> <br /> คำถามข้อที่ 3 ปัจจุบันรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน มีคุณวุฒิด้านการศึกษา มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครสอบแข่งขันฯ ในครั้งนี้ได้หรือไม่<br /> <br /> ตอบ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ ถ้ามีคุณวุฒิและสาขาวิชาเอกตรงตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้องการ แต่จะต้องมีหนังสืออนุญาตจากผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งให้สมัครสอบแข่ง ขัน และยินยอมให้ย้ายหรือโอนโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อสอบแข่งขันได้<br /> <br /> คำถามข้อที่ 4 จะตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรอง สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้จากที่ ใด<br /> <br /> ตอบ ผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันฯ สามารถตรวจสอบคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองสำหรับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาได้จากเว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ. ทาง www.moe.go.th/webtcs หรือสอบถามทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2280-2840 กรณีตรวจสอบแล้วพบว่า ก.ค.ศ.ยังไม่ได้รับรองคุณวุฒิ ให้แจ้งสถาบันการศึกษาเสนอให้ ก.ค.ศ.รับรองคุณวุฒิโดยด่วน เพื่อให้ทันการรับสมัครสอบวันสุดท้าย<br /> <br /> หวังว่าผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็น ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย จะได้รับความกระจ่างในประเด็นต่างๆ ที่นำมาเสนอในวันนี้และหากมีข้อสงสัยประการใดเป็นการเพิ่มเติมสามารถ โทรศัพท์สอบถามเข้ามาได้ที่หมายเลข 0-2280-2835<br /> <br /> <br /> ที่มา - หนังสือพิมพ์มติชน<br /><b><span style="font-size:100%;color:#ffffff;">บรรจุเป็นครูผู้ช่</span></b><b><span style="font-size:100%;color:#ffffff;">ไขข้อข้องใจการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วย</span></b><b><span style="font-size:100%;color:#ffffff;">วย</span></b>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-33882662774633543002011-03-04T19:06:00.000-08:002011-03-04T19:07:28.530-08:00เมื่อครูขาดแคลน ..ครูขาดคุณภาพ.. คุณภาพเด็กจะเป็นอย่างไร?<div style="text-align: justify;"><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;">ความสำคัญของครูกับการพัฒนาบุคลากรของ ชาตินั้น นับว่ามีความสำคัญยิ่ง ด้วยคุณภาพชีวิตเด็กคงไม่ใช่อยู่แค่ความรู้เท่าทันวิทยาการอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการพัฒนาการทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เป็น “คนดี คนเก่ง มีความสุข” เมื่อดูจากภารกิจของการศึกษาที่เป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ มีศักยภาพความพร้อมแตกต่างกันทั้งบริบทส่วนตัวและปัจจัยรอบข้างแล้ว การจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ก็ คงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีเครื่องมือ สื่อ หรืออุปกรณ์ใดที่จะมีประสิทธิภาพเกินครูไปได้</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> แม้ทุกฝ่ายจะเข้าใจหรือรับรู้ถึงความสำคัญของครูกับการพัฒนาเด็กอย่างดียิ่ง แล้วก็ตาม แต่ปัญหาการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับครูก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่เห็นอยู่ก็คงหนีไม่พ้น ปัญหาครูขาดแคลน และ ปัญหาครูขาดคุณภาพ นั่นเอง</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> สำหรับปัญหาครูขาดแคลนนั้น พูดกันเมื่อไรก็จะเจอปัญหาทุกครั้ง เพราะเป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน แต่ไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง จนกลายเป็นดินพอกหางหมูใหญ่ขึ้นทุกขณะ แม้ขณะนี้โลกจะพัฒนาเข้าสู่ทศวรรษที่ 21 เป็นโลกยุคไร้พรมแดน เกิดความก้าวหน้าสารพัดด้าน แต่คุณภาพชีวิตเด็กไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้วมเตี้ยมไปได้ไม่ถึงไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยังขาดความพร้อมอยู่โดยเฉพาะ ความพร้อมของจำนวนครูที่จะมาสอนเด็กนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ เลขาธิการ กพฐ. ได้ออกมาบอกว่า ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ยังขาดแคลนครูสาขาต่าง ๆ กว่า 60,000 อัตรา ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายว่าจะพัฒนาบุคลากร ของชาติให้เข้าสู่พลเมืองโลก แต่ยังขาดแคลนครูที่จะดำเนินงานอยู่มากมายขนาดนั้น</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> เมื่อโรงเรียนขาดครูผู้สอน ย่อมส่งผล กระทบต่อคุณภาพเด็กและการดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 13,000 แห่ง ที่ยังขาดแคลนครูอย่างหนักซึ่งความขาดแคลนที่ว่านี้คงไม่ใช่แค่ไม่มีครูพอ สอนตามครบทุกสาขาวิชาเอก เท่านั้น แค่ขอให้มีครูสอนครบทุกชั้นก็ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนนักเรียนมีแต่จะเพิ่มขึ้นขณะที่จำนวนครูมีแต่จะลดลง ทำให้ครูมีไม่เพียงพอกับการสอนทุกวิชาเอก ซึ่งหากรวมปัญหาขาดแคลนครูในหลายลักษณะที่ว่านี้แล้ว เมื่อสำรวจเป็นรายโรงเรียน น่าจะขาดครูเป็นหลักแสนราย ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าตอนนี้โรงเรียนขนาดใหญ่ที่พอมีกำลังด้านงบประมาณก็จะจัดหาครู อัตราจ้างเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขด้วยวิธีดังกล่าวได้ นอกจากจะรอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้สถานเดียว</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> จริงแล้วที่มาของปัญหาครูขาดแคลนก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็มาจากครูโรงเรียนขนาดเล็กขอย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งการย้ายที่ว่านี้ก็มีทั้ง การขอไปช่วยราชการก่อน และการโยกย้ายปกติประจำปี ที่ในอดีตการขอย้ายจะไม่ยุ่งยากเช่นปัจจุบัน แค่มีเวลาปฏิบัติงานในพื้นที่ตามหลักเกณฑ์ คือ ย้ายภายในอำเภอเดียวกันใช้เวลาแค่ปีเดียว ระหว่างจังหวัดใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็มีสิทธิยื่นเรื่องขอย้ายได้ และที่สำคัญหากมีเส้นสายด้วยแล้ว แค่พ้นทดลองราชการ 6 เดือน ก็สามารถขอไปช่วยราชการต่างโรงเรียนได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมครูจึงไปกองรวมกันที่โรงเรียนในเมือง และโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่กันดารห่างไกลขาดแคลนครู พอมาถึงปัจจุบัน การขอไปช่วยราชการหรือการโยกย้ายอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ต้องมาเจอกับโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเข้าให้อีก ทำให้แค่ช่วง 3-4 ปี ของการดำเนินการ มีครูหายออกจากระบบเกือบแสนราย ยิ่งการดำเนินการช่วงแรกไม่มีการคืนอัตราให้ ก็เหมือนไปซ้ำเติมความขาดแคลนครูของโรงเรียนขนาดเล็กเข้าไปอีก หรือแม้แต่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> เมื่อโรงเรียนมีครูไม่พอสอน และโรงเรียนต้องมาเจอสารพัดงาน ที่ต้นสังกัดหรือหน่วยงานนอกสังกัดส่งมาให้ดำเนินการ แถมมีกิจกรรม โครงการ ที่ดึงครูออกจากโรงเรียน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว การพัฒนาเด็กก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ครูที่พอมีอยู่หรือเหลืออยู่ ก็จะแก้ปัญหาโดยจัดสอนเฉพาะกลุ่มวิชาหลัก ๆ เพื่อให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยการรวมชั้นเรียนสำหรับนักเรียนระดับใกล้เคียง อะไรทำนองนั้น เมื่อสภาพการณ์เป็นไปเช่นนี้ความหวังที่จะเห็นเด็กได้รับการพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพทุกด้านนั้นจึงเป็นไปได้แค่นโยบายที่อยู่ในตัวหนังสือเท่านั้น</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> ส่วนการแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ดำเนินกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยวิธีการจัดหาครูอัตราจ้างรายเดือนเข้าไปทดแทนบางส่วนนั้น ก็คงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ เพราะเป็นการไปช่วยสอนแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งตามงบประมาณที่ได้รับมา ส่วนนี้หากมองถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาเด็ก อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ครูอัตราจ้างที่ต้องไปสอนเด็กชาวไทยภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้ภาษาตามบรรพบุรุษ พูดภาษาไทยไม่ได้ ครูอัตราจ้างเข้าไปในพื้นที่ใหม่ในเวลา 3-4 เดือน เชื่อได้เลยว่าจะไม่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขาได้เช่นกัน ทำให้การสื่อสารกับการสอนเด็กเป็นไปด้วยความยากลำบากเป็นแน่ แต่พอครูเริ่มรู้และพูดภาษาท้องถิ่นสื่อสารกับเด็กได้บ้าง ก็หมดงบประมาณการจ้าง ต้องรองบประมาณใหม่และจ้างครูอัตราจ้างคนใหม่ไปแทน ปัญหาเดิมก็จะวนกลับมาให้เห็นเช่นนี้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กที่เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นต้นไปจำนวนไม่น้อยที่ยังอ่านไม่ได้ หรือไม่คล่องอยู่ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยที่ว่ามาแล้วนั่นเอง</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> ส่วนปัญหาคุณภาพครู ในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับ เด็กได้ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยครูเก่าที่ว่ามาจากผู้เรียนเก่ง มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูตั้งแต่แรกเริ่มและมีประสบการณ์จัดการเรียนรู้ เริ่มหมดวาระการดำรงอยู่ในอาชีพราชการด้วยการเกษียณอายุราชการทั้งภาคปกติ และเออร์ลี่รีไทร์ ปีละเป็นหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มอ่อนล้ากับจำนวนงานที่มีเพิ่มมาให้ทำ มากกว่างานสอน หรือครูบางคนก็ก้าวได้ไม่ทันกับวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงยังคงใช้ประสบการณ์สอนแบบเดิม ๆ อยู่ ส่วนครูที่บรรจุใหม่ จำนวนไม่น้อยมาจากกลุ่มที่ไม่ได้สนใจวิชาชีพครูมาแต่แรก แต่ด้วยไม่สามารถหาที่เรียนตามความสนใจได้ที่สุดก็มาลงที่ครู จึงขาดอุดมการณ์และมีเจตคติเกี่ยวกับวิชาชีพครูในทางบวกไม่มากนัก ยิ่งหากไม่สนใจกับการพัฒนาตนเองในสาขาวิชาชีพนี้ด้วยแล้ว การจัดการเรียนรู้ก็จะกลายเป็นการสอนตามตำรา หรือสอนเนื้อหาในหนังสือไปในที่สุด</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> เมื่อการจัดการศึกษาของชาติ แค่จะหาผู้ที่จะเป็นผู้นำพาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ ยังมีปัญหาอยู่มากมายตั้งแต่แรกเริ่มเสียแล้ว ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ในเมืองก็คงพอทำเนา เพราะแม้จะขาดแคลนครูอยู่บ้างก็คงพอมีรายได้ของโรงเรียนมาจัดจ้างครูได้เอง หรือปัญหาคุณภาพครูก็ยังพอหาทางพัฒนาเพิ่มเติมกันได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ของลูกหลานผู้คนระดับราก หญ้าแล้วคงยากแก่การแก้ไขด้วยตนเอง ทั้งปัญหาขาดแคลนครูและครูขาดคุณภาพ ด้วยไม่มีปัจจัยเพียงพอนั่นเอง ทำให้ปัญหาจึงยังคงอยู่กับโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนครู ที่บางโรงเรียนมีครูคนเดียวต้องสอนครบทุกชั้นทุกวิชา หรือครู 1 คน ต้องสอนหลายชั้น หรือหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทำให้โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้หรือได้รับการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างเต็มศักยภาพเป็นไปได้น้อย จึงไม่ไปต้องสงสัยเลยว่าทำไม ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโดย สมศ.ในรอบแรกจึงออกมาว่ามีโรงเรียนที่ยังอยู่ในอาการโคม่ามีมากกว่า 15,000 แห่ง ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะสามารถพัฒนาจนผ่านการประเมินได้บ้างแต่ก็คงไม่ได้หมาย ความว่าโรงเรียนเหล่านั้นสามารถพัฒนาเด็กจนเกิดคุณภาพตามมาตรฐานกลาง ที่กำหนดไว้ แต่น่าจะเป็นการผ่านตามบริบทกับปัญหาที่ประสบอยู่มากกว่า</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะ ต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว ด้วยเด็กส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องอาศัยเรียนอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก หากโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอนเด็กเหล่านั้นจะเดินตามทันได้อย่างไร ยิ่งเป้าหมายการเดินแบบก้าวกระโดด มุ่งสู่สากล แต่เด็กส่วนใหญ่ขาดพื้นฐานแม้แต่การเดินแล้วจะก้าวกระโดดทันเด็กในเมืองได้ อย่างไร หากคิดพัฒนาไปข้างหน้าจนลืมมองข้างหลังการเกิดช่องว่างในคุณภาพชีวิตเด็กใน เมืองกับเด็กชนบทก็ยิ่งจะกลายไปเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้ ห่างกันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เข้าไปอีก ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ว่านี้ ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า “ครูยังเป็นปัจจัยหลักและมีความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอยู่” และที่สำคัญต้องเข้าใจถึงบริบทการปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่าง กัน ไม่ใช่มองไปคนละทิศละทางอย่างที่เป็นมา ตัวอย่างเช่น เรื่องของจำนวนครู ซึ่งทาง กพร. ก็ยังมองแต่ในภาพรวม จึงเห็นว่าครูในปัจจุบันมีจำนวนเพียงพอ ทั้งนี้ก็ด้วยไปยึดอยู่กับเกณฑ์ เอ ดี บี ที่ใช้อัตราส่วนครูต่อเด็ก 1 : 25 คน ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับโรงเรียนในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ โรงเรียนขนาดเล็ก เพราะหากคิดตามสูตรดังกล่าวนี้แล้ว เกิดโรงเรียนนั้นมีเด็กแค่ 50 คน มีครู 2 คน จะถือว่าครูพอดีเกณฑ์ แต่ในทางปฏิบัติจริงโรงเรียนนั้นต้องเปิดสอน 6 ชั้นและทุกชั้นจะต้องสอนครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กับอีก 1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นี่ขนาดยังไม่รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ส่งมาให้ทำ หรือ ถูกสั่งให้ออกไปอบรม สัมมนา ร่วมกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วครู 2 คนจะปฏิบัติงานอย่างไร เพราะบางโรงเรียนทุกวันนี้จะหาครูเหลือเฝ้าเด็กก็แทบจะไม่มี หรือกรณีที่ว่าครูส่วนใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ในเมืองจนเกินเกณฑ์ก็จริง แต่การที่จะเกลี่ยครูที่ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนอยู่โรงเรียนในเมืองไปแล้ว ให้ไปอยู่โรงเรียนกันดารห่างไกล ถามว่าจะทำได้อย่างไร หรือใครจะกล้าทำ เพราะครูไม่ใช่เม็ดดิน เม็ดทราย ที่อยากจะกวาดไปอยู่ตรงไหนก็ได้เสียเมื่อไร หรือหากกล้าทำก็คงถูกฟ้องร้องกันไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จะมัวให้โรงเรียนขาดแคลนครูต้องรอให้ครูจากโรงเรียน ที่มีครูเกินเกณฑ์เกษียณอายุราชการแล้วค่อยตัดตำแหน่งไปให้นั้นคงไม่ทันเวลา เพราะเด็กที่ต้องผ่านระบบการศึกษาไปเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นแต่ละปีมีอยู่ หลายล้านคน การที่ปล่อยให้พื้นฐานการเรียนรู้หรือพื้นฐานคุณภาพชีวิตถูกพัฒนาเป็นไปตาม ยถากรรมเช่นนี้ อนาคตของบุคลากรของชาติและประเทศชาติ จะเป็นเช่นไร</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;"> ดังนั้นการแก้ปัญหาครูขาดแคลนจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องถือว่าเป็น ปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่ามัววิตกเกินเหตุว่าหากเพิ่มจำนวนครูแล้ว งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับมาจะหมดไปกับเงินเดือนของครูจนไม่เหลือ งบลงทุน เพราะงานจัดการศึกษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กนั้นครูคือผู้ดำเนินการทุก ส่วนถึงตัวเด็กโดยตรง ไม่เหมือนกับข้าราชการประเภทอื่น ๆ ที่ภารกิจอาจแตกต่างไป ดังนั้นงบประมาณที่นำมาจัดหาครูและพัฒนาครูนั่นแหละคือ การลงทุนเพื่อการศึกษาที่ตรงจุดที่สุดแล้ว จะบอกให้.</span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-32511713394602328862011-03-04T00:39:00.000-08:002011-03-04T00:40:19.327-08:00ครูเฮ! "วุฒิสภา" ใช้เวลาแค่ 10 นาที ผ่านสามวาระรวดร่าง กม.ขึ้นเงินเดือนครู ไม่เกิน 10%<span style="font-size:100%;">ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเอกฉันท์ 71 เสียง เห็นชอบในวาระ 3 ของร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที โดยมีการเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาในวาระ 2 ซึ่งไม่มี ส.ว.ในฐานะกรรมาธิการคนใด ติดใจหรือให้แก้ไขถ้อยคำในกฎหมายแม้แต่มาตราเดียว ขณะที่ภายในบริเวณรัฐสภาได้มีกลุ่มครูจากต่างจังหวัดมาร่วมฟังการพิจารณาของ วุฒิสภาในครั้งนี้ด้วย<br /><br />สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ มาตรา 5 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเงินเดือนขั้นต่ำสูง เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มี ความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความจำเป็นไม่เกิน 10% ของเงินเดือน ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้วุฒิสภาจะส่งร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาให้สภาผู้แทนราษฎรรับทราบและดำเนินการ ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป<br /><br /></span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-25389318491340050252011-03-02T23:54:00.000-08:002011-03-02T23:56:21.555-08:00หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ<h1 style="color: rgb(51, 51, 255);" id="subject_tpc"><span style="font-size:180%;">หลักการสอบแข่งขันเพื่อเป็นข้าราชการครูฯ</span></h1><span style="font-family:tahoma ;font-size:100%;">ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับกำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคล เข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยจะมีการประกาศรับสมัครระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-3 เมษายน 2554 รับสมัครระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน 2554 ดำเนินการสอบแข่งขันระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2554 นั้น<br /><br /> สำหรับวันนี้ จะขอชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการสอบแข่งขันฯ เพื่อให้ผู้ที่สนใจที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมความพร้อมในการสอบแข่งขันฯ ซึ่งการสอบจะมี3 ภาค ดังนี้<br /><br /> ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ด้วยวิธีการสอบข้อเขียน โดยคำนึงถึงระดับความรู้ ความสามารถที่ต้องการของตำแหน่ง ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานตำแหน่ง ซึ่งจะมีการสอบ 3 ส่วน คือ<br /><br /> 1) ความรอบรู้ (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องสังคมเศรษฐกิจ การเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น และกฎหมาย (พระราชบัญญัติ) ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ<br /><br /> 2) ความสามารถทั่วไป (50 คะแนน) ทดสอบความรู้ ความสามารถด้านตัวเลข ความสามารถด้านภาษาไทย และความสามารถด้านเหตุผล<br /><br /> 3) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู (50 คะแนน) ทดสอบความรู้เรื่องวินัย และการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มาตรฐานวิชาชีพจรรยาบรรณวิชาชีพ และสมรรถนะวิชาชีพ<br /><br /> ภาค ข ความรู้ ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง(คะแนนเต็ม 150 คะแนน) ทดสอบ 2 ส่วน คือ<br /><br /> 1) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาการศึกษา (75 คะแนน) ทดสอบด้วยวิธีการสอบข้อเขียนในเรื่องหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว การพัฒนาผู้เรียน การบริหารจัดการชั้นเรียนการวิจัยทางการศึกษา สื่อ นวัตกรรม การวัดและประเมินผลการศึกษา<br /><br /> 2) ความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับวิชาเอก (75 คะแนน)ทดสอบโดยวิธีการสอบข้อเขียนและหรือภาคปฏิบัติเกี่ยวกับความรู้ใน เนื้อหากลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก<br /><br /> ภาค ค ความเหมาะสมกับวิชาชีพ (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) ประเมินโดยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต ตรวจสอบเอกสาร หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม จากประวัติส่วนตัวและการศึกษา การประกอบคุณความดี บุคลิกภาพ ท่วงทีวาจาการมีปฏิภาณไหวพริบ เจตคติ และอุดมการณ์<br /><br /> สำหรับเกณฑ์การตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้สอบแข่งขันได้ ผู้นั้นจะต้องได้คะแนนแต่ละภาคไม่น้อยกว่าร้อยละ 60<br /><br /> ขอให้ผู้สนใจจะสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้เตรียมตัวและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานการสมัครสอบแข่งขัน ให้ครบถ้วนก่อนวันรับสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร หนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ใบระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript)ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ (เช่น สภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นต้น) ไม่หลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย</span><span style="font-size:100%;"><br /></span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-52073518995074195342011-02-22T20:05:00.000-08:002011-02-22T20:10:06.887-08:00เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วย 54 รับสมัคร 25 มี.ค.-3 เม.ย.<h1 id="subject_tpc"><span style="font-size:130%;">เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วย รับสมัคร 25 มี.ค.-3 เม.ย.</span></h1><h1 id="subject_tpc"><span style="font-size:100%;"><span style="font-weight: normal;">นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2554 ก.ค.ศ.ได้กำหนดปฏิทินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย </span></span><br /></h1> - ประกาศรับสมัครสอบแข่งขันวันที่ 25 มีนาคม-3 เมษายน 2554 <br /> <br />- รับสมัครสอบแข่งขัน วันที่ 4-10 เมษายน <br /> <br />- ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบแข่งขัน ภายในวันที่ 17 เมษายน และ<br /> <br />- ดำเนินการการสอบแข่งขัน ภาค ก วันที่ 25-26 เมษายน <br /> <br />- ภาค ข วันที่ 27 เมษายน <br /> <br />- ภาค ค วันที่ 28 เมษายน เป็นต้นไป และ <br /> <br />- ประกาศผลการสอบแข่งขันภายในวันที่ 6 พฤษภาคม นี้<br /> <br /> "ขอให้ผู้ที่สนใจจะสมัครสอบเตรียมตัวและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานการสมัครสอบ แข่งขันให้ครบถ้วนก่อนวันรับสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร หนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ใบระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript) ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ เช่น สภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นต้น จะไม่รับหลักฐานหลังวันเปิดรับสมัครสอบแข่งขันวันสุดท้าย <br /> <br /> ทั้งนี้ การสอบแข่งขันตำแหน่งครูผู้ช่วยในเดือนเมษายนนี้ ทุกส่วนราชการที่มีอัตราว่าง จะประกาศรับสมัคร และสอบแข่งขันตามกำหนดการดังกล่าวพร้อมกันทั่วประเทศ" เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-38485579021420237072011-01-31T04:48:00.000-08:002011-01-31T04:50:30.213-08:00พันธุ์เก่ากับพันธุ์ใหม่แวดวงการศึกษาไทยห้วงปีที่ผ่านมากล่าวขวัญ ถึงการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่สอง และพูดถึง "ครูพันธุ์ใหม่"มากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งรวมหมายถึงระดับการศึกษาและคุณสมบัติ ตลอดจนค่าตอบแทน<br /><br />ก่อนจะไปถึงครูพันธุ์ใหม่ วันนี้ลองมองย้อนกลับไปที่ "ครูพันธุ์เก่า"สักประเดี๋ยวเป็นไร<br /><br />วันก่อนมีเรื่องครูตีนักเรียนเรื่องแต่งกายผิดระเบียบ ถึงขนาดฟกช้ำดำเขียวที่บริเวณแก้มก้น<br /><br />หากว่ากันตามระเบียบกฎเกณฑ์ มีระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้เมื่อปี 2548 ห้ามครูลงโทษนักเรียนด้วยการตีด้วยไม้หรือตีด้วยวัสดุอุปกรณ์อื่นใด<br /><br />เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2553 ที่ศาลแขวงจังหวัดนครราชสีมา คณะผู้พิพากษาศาลแขวงพิพากษาจำคุกอดีตครูสอนศิลปศึกษา1 อดีตครูประจำวิชาภาษาไทย 1 และครูผู้ดูแลหอพัก 1 เป็นเวลา 1 ปี ปรับคนละ8,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการร่วมกระทำผิดลงโทษเด็กนักเรียนชายกว่า40 คน โดยการใช้ไม้เรียวทำด้วยหวายพันสายไฟฟ้าเฆี่ยนตีจนเด็กนักเรียนได้รับบาด เจ็บ<br /><br />ความคิดเห็นเรื่องครูตีนักเรียนมีออกมาหลายทาง ทั้งผู้ปกครอง ทั้งนักเรียน และทั้งครูผู้รับผิดชอบ บ้างเห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วยโดยเหตุผลว่า หากมีการลงโทษตีด้วยไม้เรียวกระทำบนฐานของความรักความเมตตานักเรียน การตีนั้นก็น่ามีความเป็นไปได้ขณะที่บางโรงเรียนมีระเบียบว่าจะให้ลงโทษด้วย วิธีใด หากลงโทษด้วยการตี จะให้ครูตีหรือผู้ปกครองตี หรือจะลงโทษด้วยการหักคะแนน<br /><br />การเฆี่ยนตีนักเรียนน่าจะมีต่อเนื่องมาแต่ในอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักลงโทษลูกหลานในปกครองด้วยการเฆี่ยนตีแทบทั้งสิ้น กำลังของการเฆี่ยนตีแรงค่อยแล้วแต่ทั้งความผิดและอารมณ์ ณ ขณะนั้นส่วนการเฆี่ยนตีของครู อาจถือกันมานานแล้วว่าครูคือพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน<br /><br />"หลวงเมือง"เขียนไว้ใน"มติชน"คอลัมน์ "บทความธรรมดา" วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคมนี้ ตอนหนึ่งว่า<br /><br />"คนไทยนับถือวันพฤหัสบดีเป็นวันครูเมื่อข้าพเจ้าเข้าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พ่อพาไปมอบตัวต่ออาจารย์ใหญ่ คือ ขุนปราศรัยจรรยา โดยให้ถือดอกไม้ธูปเทียนไปด้วยและไปวันพฤหัสบดี ท่านอาจารย์พูดกับพ่อของข้าพเจ้าว่า สมัยนี้เขาไม่นับถือกันแล้วมอบตัวกันเป็นพิธีก็พอ แต่พ่อของข้าพเจ้าเรียนท่านโดยนอบน้อมว่า ผมถือโบราณดอกไม้ธูปเทียนที่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์นำมาคารวะนี้บูชาพระก็ ได้ ท่านก็รับไว้ พ่อกล่าวมอบตัวเป็นครั้งที่ 2 ว่า ลูกผมคนนี้ยกให้เป็นศิษย์ของท่านขุน ดุว่าเฆี่ยนตีได้ตามความผิด อาจารย์ใหญ่หันมาถามข้าพเจ้าว่าเธอได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบเสียงแห้งๆ ว่า ครับ เป็นอันเสร็จพิธีมอบตัว"<br /><br />เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเพื่อนศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าคารวะ อาจารย์เนื่องในโอกาสวันครู โดยนายอภิสิทธิ์นำพวงมาลัยคารวะคุณครูลินจงอินทรัมพรรย์ อดีตครูประจำชั้น ป.5 ป.6 ของนายกรัฐมนตรี<br /><br />คุณครูลินจง ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ตอนหนึ่ง ความว่า<br /><br />เนื่องในวันครูที่จะมาถึงในวันที่ 16 มกราคมนี้ อยากฝากถึงเพื่อนครูทั่วประเทศว่า ขอให้ภูมิใจในอาชีพของตนเอง เพราะครูเป็นอาชีพที่ได้ทำบุญจากการสั่งสอนให้ความรู้แก่ลูกศิษย์...ขอให้ ครูภูมิใจ ไม่ต้องน้อยใจว่าไม่รวย และต้องทำงานเหนื่อยยากแต่อาชีพที่ทำอยู่มีคุณค่ามหาศาลมาก และเป็นอาชีพที่คนอื่นไม่มีโอกาสทำ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องทำงานนี้ด้วยใจ<br /><br />"ครูไม่ได้แค่ภูมิใจที่เป็นครูนายกฯ แต่ภูมิใจกับลูกศิษย์ทุกคนที่เป็นคนดี ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรที่สุจริตก็ภูมิใจ ทุกวันนี้มีลูกศิษย์ประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น นักแสดง ชาวนา บางคนก็บวชเป็นพระสงฆ์ดิฉันในฐานะเป็นครูก็จะติดตามลูกศิษย์แต่ละคนว่าเป็น อย่างไร"<br /><br />"ราชภัฏข่าวสด" วันนี้เป็นแต่เพียงหยิบยกความเป็นพ่อแม่ ความเป็นครู เมื่อก่อนกับวันนี้มาให้อ่าน เผื่อว่าคุณครูและคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทั้งหลายได้ทบทวนกันว่า จะลงโทษด้วยไม้เรียวต่อไปหรือไม่Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-33931150582778191942011-01-28T00:58:00.000-08:002011-01-28T01:16:17.153-08:00อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้<span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);">อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบบรรจุได้<br /></span><div style="text-align: justify;"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">เป็นเรื่องที่หลาย</span>คนยังหาแนวทางให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสสอบติดอยากสอบมีชื่อขึ้นบัญชีเหมือนเขาบ้าง ผมเองก็เคยเป็นคนนึงที่ต้องดิ้นรนหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองสอบบรรจุครูได้เหมือนเขาบ้างเพราะเป็นอาชีพที่ตัวเองไฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนจนกระทั่งเรียนจบก็ได้มีโอกาสทำงานด้านการสอนแต่เป็นสอนในโรงเรียนเอกชนซึ่งเราหวังที่จะสอบได้เป็นข้าราชการครูรัฐบาลกับเขาบ้าง พอทราบข่าวว่าจะมีการเิปิดสอบบรรจุที่ไหนก็เตรียมตัวอ่านหนังสือชนิดอ่านแทบไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้อ่านมันทุกอย่างอ่านทุกเรื่องที่น่าจะเป็นข้อสอบ เมื่อถึงวันสอบก็พร้อมทุกอย่างแต่ผลสอบออกมากลับเป็นว่าเราสอบไม่ผ่านภาค ก. เลยกลับมานั่งทบทวนตัวเองว่าเพราะอะไรทำไม เราอ่่านหนังสือขนาดนี้แล้วทำไมยังสอบไม่ผ่าน<br /> และแล้วผมก็ได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลท่านนึง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ)ท่านได้ให้แนวทางสำหรับการอ่านหนังสือให้กับผมซึ่งเป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ อ่านหนังสือตรงไหน อ่านอย่างไรให้จำได้เราไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดทั้งเ่ล่มไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวเรียกว่าเราสามารถอ่านเก็งเฉพาะจุดที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบได้แน่นอน ผมเองก็ได้ทำตามปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอ่านหนังสือตามที่ท่านบอก แล้วเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้สอบครูผู้ช่วยอีกครั้งผลสอบออกมาผมสอบผ่านภาค ก. จริง ๆ ดีใจมากเป็นความรู้สึกที่สุดจะบรรยายเป็นความภูมิใจของตัวเรา แต่ยังต้องไปสอบภาค ข. อีก ซึ่งตอนนั้นวิชาเอกที่ผมสอบมีคนสอบผ่านภาค ก. เพียง 33 คน ก็ไปสอบภาค ข. และผลสอบรวมทั้ง ภาค ก . และ ข. ออกมาปรากฏว่าผมสอบได้ลำดับที่ 4 เหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งโล่งทั้งดีใจ ภูมิใจที่ตัวเองทำได้ไม่ได้พึ่งเส้นสายที่ได้เพราะไม่มีเส้นสายอยู่แล้วผมเป็นลูกชาวนา ดีใจที่เราได้แล้วทำให้พ่อแม่ภูมิใจด้วย ตอนนี้ผมก็ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว<br /> จึงอยากเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของการสอบบรรจุครูผู้ช่วยให้ท่าน ๆ ทั้งหลายที่กำลังมองหาช่องทางสำหรับการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ผมสรุปหลักการอ่านหนังสือของผมสั้น ๆนะครับ<br /> 1. อ่านเรื่องที่จำเป็นที่คิดว่าจะเป็นข้อสอบ พรบ. กฏหมาย ต้องแม่น มาตราต่าง ๆ<br /> 2. ความรู้ทั่วไปต้องแม่น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน<br /> 3. วิชาชีพครู อันนี้ต้องแม่นไม่น่าจะพลาดเพราะเป็นเรื่องจำเป็นมาก ข้อสอบออกเยอะ<br /> 4. เรื่องของภาษาไทย บางคนอาจไม่ชอบข้อสอบส่วนนี้ ถ้ามีหลักการอ่านดี ๆ ไม่ยาก จำหลักการให้ได้<br /> 5. คณิตศาสตร์ บางคนตกม้าตายเพราะวิชานี้ ทำไม่ทันเวลา เสียคะแนนได้ง่าย ผมเคยทำไม่ทันเวลาครับ สำหรับวิชานี้แ้ล้วก็สอบไม่ผ่านจริง ๆ<br /> 6. วิชาเอกตัวเอง อันนี้ต้องมั่นใจว่าทำข้อสอบได้ 100% นะครับ ถ้าไม่มั่นใจวิชาเอกตัวเองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ถ้าไม่ได้ถึง 100% ก็ให้มั่นใจว่าทำได้ 80% ขึ้นสำหรับวิชาเอกตัวเอง<br /><br />เอาละครับพอเป็นแนวทางให้กับท่านทั้งหลายแล้วผมจะนำตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยมาให้ท่านอ่านเรื่อย ๆครับ<br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);"></span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-12285988814337062652011-01-21T02:00:00.000-08:002011-01-21T02:01:21.170-08:00คลอด2มาตรฐานหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ ป.โทสอนรายวิชา-ประจำชั้นนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ได้เห็นชอบแนวทางการออกแบบ มาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี และหลักสูตรครูปริญญาตรีควบโท 6 ปี โดยหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การพัฒนาสร้างครูประจำวิชา เพื่อสอนระดับ ม.ปลายและอาชีวศึกษา ซึ่งผู้ที่จะเรียนหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรม.ปลาย หรือ GPAX และผลการเรียนวิชาเอกไม่ต่ำกว่า 3.00 มีความสามารถภาษาอังกฤษดี มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษที่เทียบกับ TOEFL ไม่น้อยกว่า 500 คะแนน จำนวนหน่วยกิตรวม 36 หน่วยกิต ทำวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต โดยในช่วง 1 ปีแรกต้องเรียนรายวิชาชีพครูควบคู่กับการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนการสอน รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาเอกในปีที่ 2 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย<br /><br />นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การสร้างครูประจำชั้น เพื่อสอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยขึ้นไป โดยผู้เรียนจะได้รับการบ่มเพาะความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ด้านการศึกษา และศาสตร์วิชาเฉพาะตลอดหลักสูตร สำหรับผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า มี GPAX และผลการเรียนในวิชาเอกที่เลือกเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และ ผลสอบความถนัดทางวิชาชีพหรือวิชาการ ( PAT) วิชาวัดแววความเป็นครู PAT ภาษาอังกฤษ และคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวนหน่วยกิตที่ต้องเรียนคือ 156 หน่วยกิต นอกจากนี้ในช่วง 4 ปีแรกต้องเรียนวิชาวิจัยขั้นพื้นฐานและวิจัยเพื่อพัฒนา การเรียนการสอน ขณะที่รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาวิชาเอกในปีที่ 5 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย สำหรับอาจารย์ประจำหลักสูตรต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบ เท่า หรือดำรงตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ในสาขาวิชานั้นหรือสาขา ที่สัมพันธ์กัน และต้องมีประสบการณ์การสอนไม่น้อยกว่า 5 ปี<br /><br />“การออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่ดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของ ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการโครงการฯไปสำรวจความพร้อมของ สถาบันที่เสนอรายชื่อว่ามีความพร้อมในการผลิตครูในหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตรดังกล่าว ว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมถึงสำรวจความพร้อมของบุคลากรเพื่อจะได้เตรียมการว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นครูของครูได้อย่างเหมาะสมต่อไป<br /><br /> <br /><br />ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 21 มกราคม 2554Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-29733384298795881742011-01-20T00:30:00.000-08:002011-01-20T00:34:39.624-08:00เทคนิคการสอบ<span style="font-weight:bold;">เทคนิคการสอบ </span><br />การเตรียมตัวก่อนสอบ<br />- ศึกษาและทบทวนบ่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ การดูหนังสือวินาทีสุดท้าย เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด<br />- อ่านสมุดที่จดบันทึกไว้อย่างตั้งใจ ขณะที่อ่านไปให้นึกถึงคำถามที่อาจจะมีขึ้นแล้วลองตอบ<br />- ทบทวนอย่างมีจุดประสงค์อยู่ในใจ การทบทวนชนิดเปิดสมุดอย่างสุ่ม จะไม่มีประโยชน์ แต่ให้ทบทวนหลักการ (concept) พื้นฐาน และจุดสำคัญของเนื้อหา<br />- ลองดูหนังสือทบทวนกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนคำถาม คำตอบ แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับการทบทวนวิธีนี้ ก็ควรอ่านทบทวนเฉพาะตนเอง<br />- ลองสอบถามรุ่นพี่ ๆ เพื่อทราบลักษณะการออกข้อสอบของอาจารย์ (ปรนัย, อัตนัย, ระยะเวลา) นอกจากนี้ ควรหาข้อสอบเก่า ๆ หรือสอบถามรุ่นพี่ว่าอาจารย์เ**ถามอะไรบ้าง หากมีข้อสอบเก่า ให้นักศึกษาลองฝึกตอบคำถามดูและควรต้องตอบภายในเวลาที่กำหนด (เหมือนเช่น การลองทำข้อสอบเก่าในการสอบเอ็นทรานซ์)<br />- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ ไม่ใช่ดูหนังสือจนสว่าง เพราะจะมีผลทำให้สมองของนักศึกษาทำงานได้ไม่เต็มที่<br />-1 สัปดาห์ก่อนกำหนดสอบไล่ ควรจะได้ตรวจสอบเกี่ยวกับวิชาสอบ วันเวลาที่สอบ สถานที่สอบให้แน่นอน มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไปสอบผิดวิชา ผิดวัน<br />- คืนก่อนสอบ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาจทบทวนอีกเล็กน้อย ไม่ใช่มาเริ่มอ่านสิ่งใหม่ ๆ ในคืนนี้<br />- อย่าเครียด ! ทำจิตใจให้สบาย ถ้านักศึกษาเตรียมตัวมาดีแล้ว ไม่ควรจะกังวลต่อสิ่งใด แต่หากเตรียมตัวไม่ดีพอ ความกังวลนี้จะยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก<br />- ในวันสอบ ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลา แต่อย่าไปถึงก่อนเวลามากเกินไปนักAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-43934227227417574042011-01-19T06:51:00.000-08:002011-01-19T06:52:48.997-08:00ครูกระดานดำกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะเป็นอย่างไร?เมื่อนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศว่า ปี 2554 เป็นปีแห่งคุณภาพครู ขณะที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อครูและนักเรียนมากขึ้น เด็กหลายคนเริ่มเรียนหนังสือจากแผ่นซีดี ครู-อาจารย์สอนลงคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นครูไฮเทค แล้วเด็กจะได้อะไร ???<br /><br />ครูเรือจ้างที่เคยพาศิษย์นั่งเรือข้ามฝั่ง จะถูกลบออกจากสารบบหรือไม่ แล้วอนาคตเยาวชนของชาติจะไปในทิศทางใด "ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เข้ามาอิทธิพลต่อการเรียนการ สอนของครู ดร.มานะ กล่าวว่า ครูยุคใหม่จำเป็นต้องทันเทคโนโลยี และต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เรื่องการค้นคว้า หาข้อมูลใหม่ๆ เพราะเราสามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่จากต่างประเทศเร็วขึ้น ส่วนเทคนิคการนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ก็สามารถทำนักเรียนตื่นตาตื่นใจกับการสอนได้ โดยจะช่วยให้เด็กมีความสนใจและเรียนรู้ได้มากขึ้น แต่ครูยังต้องเรียนรู้ว่า เครื่องมือดังกล่าวมีทั้งคุณและโทษ<br /><br />ส่วนกรณีที่จะทำให้ครูเป็นครูคุณภาพนั้น อ.นิเทศศาสตร์ เห็นว่า เมื่อสมัยก่อนครูก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถเป็นครูคุณภาพได้ โดยใช้หัวใจและใส่ใจในการสอน และตัวครูเองก็จะพัฒนาในการหาความรู้ตลอดเวลา ด้วยการไปหาหนังสือจากที่อื่นๆ มาเพิ่มเติมความรู้ของตน ก่อนที่จะนำไปสอนแก่เด็กๆ เทคโนโลยีช่วยเอื้อโอกาสเพิ่มเติมความรู้ให้กับครู ได้พัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น ทั้งนี้หากครูไม่มีใจ เทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยครูให้สอนได้ขึ้น ครูคุณภาพจึงอยู่ที่จิตสำนึกครูมากกว่า เทคโนโลยีเป็นที่ตัวเสริม<br /><br />เมื่อถามว่า เด็กจะได้อะไรจากครูไฮเทค เชื่อว่า เด็กจะเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่มีใจเรียน มัวแต่เล่นเกม การมีคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการเรียนรู้ เทคโนโลยีจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วและ กว้างขึ้น<br /><br />ขณะที่นางจารุณี สุทธิสวรรค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ จนสมควรได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการคุรุสภา ประจำปี 2553 ซึ่งสอนวิชานาฏศิลป์ กล่าวว่า การเป็นครูที่ดีต้องสามารถเติมเต็มผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ หากได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กได้ ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือในชนบท แต่ครูก็ไม่เคยคิดว่าการสอนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้สำหรับเด็กเลย เพราะเด็กในพื้นที่ใดหากได้รับการสอนที่ดี ครูก็จะสามารถดึงศักยภาพเขาออกมาได้ และสร้างให้เป็นคนดี คนเก่งได้เช่นกัน<br /><br />เมื่อถามความคิดเห็นเรื่องเทคโนโลยีที่มีบทบาทกับการศึกษา ครูจารุณี บอกว่า เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญกับการศึกษา เพราะทุกวันนี้วิชานาฏศิลป์ก็ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต โดยเรียนรู้จากสิ่งที่เราสร้างให้ก่อนนำไปต่อยอดการศึกษาต่อไป<br /><br />ส่วนการที่จะเปลี่ยนครูกระดานดำเป็นครูไฮเทค คุณครูนาฏศิลป์ เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถก้าวทันโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะซึมซับข้อมูล ที่ไม่ใช่แต่เพียงคอมพิวเตอร์อย่างเดียว โทรทัศน์เองก็มีส่วนช่วยได้ ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้รวดเร็วตามยุคข่าวสารเทคโนโลยี ถึงแม้จะไม่ได้จบคอมพิวเตอร์ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เด็กก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบรู้<br /><br />ด้านนางภัทรพร อาษาดี ครูโรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นครูสอนวิชางานบ้าน ที่ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "ครูสอนดีเด่น" ประจำปี 2553 จากคุรุสภา กล่าวถึงแนวทางการสอนนักเรียนว่า ตนได้สอนและฝึกให้เด็กทำผลงานต่างๆ ทั้งโครงงานประดิษฐ์หลากหลายชนิด โดยผลงานทั้งหมดจะนำไปสู่ชุมชน และนำไปแข่งขันระดับจังหวัด ระดับประเทศต่อไป<br /><br />ส่วนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน ที่ผ่านมาครูก็ต้องปรับตัวในการใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่แทรกเข้ามา และต้องใช้ให้เป็น ไม่เพียงแต่ดูอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เรายังต้องต่อยอดองค์ความรู้ให้กับเด็กๆ ทั้งในด้านการค้นคว้า การหาข้อมูล ซึ่งครูจะต้องพัฒนาตลอดเวลา ด้วยการทำสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดรับกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนสมัยใหม่ ที่จะต้องเรียนรู้จากสื่อที่ครูเป็นผู้ผลิต<br /><br />"ทุกวันนี้ครูก็กลายเป็นครูไฮเทคไปแล้ว เช่นกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นองค์ความรู้ บางทีเด็กก็ได้แค่มอง แต่ถ้าครูเอาไปลงในคอมพิวเตอร์ มันจะทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากแผ่นซีดี หรือในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเด็กอาจจะนำกลับไปเรียนต่อที่บ้าน หรือเข้าไปอ่านในเว็บไซด์ต่างๆ ได้"<br /><br />ทั้งนี้ ครูภัทรพร ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่า บางทีมันเหมือนดาบสองคม มีทั้งผลดีผลเสีย โดยผลเสียก็คือ หากใช้สื่ออินเตอร์เน็ตมาก จะทำให้เด็กเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนผลดีที่เราจะได้คือ โอกาสในการเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างเปิดกว้าง<br /><br />นอกจากนี้ ครูดีเด่น ยังกล่าวถึงความคิดเห็นส่วนตัวว่า "ครูคุณภาพ ไม่ได้หมายความว่า ครูจะปล่อยให้เด็กอยู่กับความไฮเทคเพียงอย่างเดียว โดยที่ครูไม่ได้ดูแล ก็จะทำให้เด็กหลงทาง ใช้สื่อในทางที่ผิด ครูเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีขอบเขต ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นผลเสีย"Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-47883480600827069072011-01-17T18:54:00.001-08:002011-01-17T18:56:56.390-08:00เปิดสอบครูผู้ช่วย 2554เปิดสอบครูพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554<br />นายก มล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ปีงบประมาณ 2554 ของ สพฐ. ว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ทำหนังสือ ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการใช้เงินเหลือจ่ายของ สพฐ. ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อการบรรจุบุคลากรทดแทนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าโครงการ เออร์ลี่รีไทร์ จำนวน 12,860 คน ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออัตราเกษียณอายุราชการปี 2552 จำนวน 4,160 อัตรา คืนตามมติ ครม. ที่ให้คืนอัตราเกษียณฯปกติทั้ง 100% แก่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องจากขาดแคลนครู<br />"เลขาธิการ กพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารอ เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรอัตราคืนแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แล้ว และได้มีการสำรวจข้อมูลของแต่ละเขตพื้นที่ฯ แล้วว่าขาดอัตราเท่าใด ดังนั้นหาก คปร.อนุมัติ สพฐ.จะเร่งจัดสรรให้ทันที เพื่อให้เขตพื้นที่ฯจัดสรรอัตราลงสถานศึกษาต่อไป" นายกมลกล่าวและว่า สำหรับอัตราที่เขตพื้นที่ฯได้คืนนั้น สามารถนำไปเปิดสอบใหม่หรือจะเรียกจากบัญชีเดิมมาบรรจุก็ได้ ทั้ง นี้จะมีการสำรวจอัตราว่างในสถานศึกษาทั่วประเทศอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 ก่อน จะมีการเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554 อย่าง ไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าจะ ได้อัตราคืนมาบรรจุทั้งจากเกษียณปกติและเออร์ลี่รีไทร์รวม 17,020 อัตรา เนื่องจากจะได้คืนอัตราเออร์ลี่รีไทร์ 100% เช่นกันAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-30854209137374584742011-01-10T05:27:00.000-08:002011-01-10T05:29:19.234-08:00รัฐแจกทุนครูดีเด่นคนละหมื่นแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการจ่ายเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับครูที่มีการสอนดีเด่นทั่วประเทศ โดยคัดเลือกมาจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด แห่งละ 1 คน โดยจะได้รับเงินพิเศษคนละ 1 หมื่นบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการพัฒนาการศึกษา<br /><br />ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจะมีครูที่ได้รับเงินพิเศษประมาณ 1.2 แสนคน จากจำนวนทั้งหมด 4.5 แสนคน<br /><br />นอกจากนี้ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการยังอยู่ระหว่างพิจารณาขึ้นเงินเดือนครูเป็นการ ทั่วไปอีก 58% ผ่านการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินวิทยฐานะและเบี้ยเลี้ยง<br /><br />“กระทรวงศึกษาฯ ยังมีงบประมาณเบิกจ่ายเหลื่อมปีเหลืออยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่น่าจะสามารถนำมาดำเนินนโยบายได้” แหล่งข่าวเปิดเผย<br /><br />ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการแถลงแผนเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ ก่อนจะนำมาตรการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 ม.ค.ต่อไป<br /><br />นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 จำนวน 62 คน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า รัฐบาลมีโครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอน เป็นหลัก โดยรัฐบาลจะดึงบุคคลเหล่านี้มา และให้แรงจูงใจ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของค่าตอบแทน<br /><br />นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครู ที่สอนดี และทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ อีกทั้งภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจ และมีส่วนร่วมในการทำโครงการนี้ด้วย<br /><br />“ครูคือปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ขาด ดังนั้นไม่ว่าจะปรับปรุงระบบบริหาร ระบบงบประมาณ หรือหลักสูตรอะไรก็ตาม แต่ถ้าปัจจัยในส่วนของครูไม่เอื้อให้เกิดความสำเร็จนั้น การปฏิรูปไม่มีทางประสบความสำเร็จ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว<br /><br />นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้นำคณะผู้บริหารและครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554<br /><br />วันนี้ เวลา 14.20 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุนทร ลีซีทวน อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 ได้ ได้นำกระเช้าดอกไม้และของขวัญมอบให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2554 และรับฟังโอวาทจากนายกรัฐมนตรี<br /><br />โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารที่ได้เสียสละเวลาเดินทางมา พร้อมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามาโดย ตลอด ซึ่งการปฏิรูปการศึกษานั้น อาจจะฟังดูใหญ่โตมาก คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเปลี่ยนแปลงระบบ และไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ยังมีอีกหลายประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายที่มีการวิเคราะห์วิจัย อะไรเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของคุณภาพการศึกษา ซึ่งยังไม่มีที่ไหนค้นพบว่า ฉะนั้น การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปต้องให้ความสำคัญกับครู ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มต้นนโยบายคืนครูให้นักเรียน เพราะที่ผ่านมาได้มีเสียงสะท้อนว่ายังไม่พอ เพราะครูบางคนต้องวิ่งหลายโรงเรียน และความมั่นคงทางอาชีพการงานของครูยังไม่ลงตัวอีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการเรื่องเงินเดือนและกฎหมาย เมื่อสภาเปิดสมัยประชุมขึ้นมาจะผลักดันตรงนี้ต่อไป<br /><br />นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันเรื่องการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลักอยู่ 2 โครงการ ดังนี้ 1) เรื่องเด็กด้อยโอกาสที่จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ปัญหาความก้าวหน้าของวิชาชีพครู ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำระบบผูกติดกับเรื่องวิทยฐานะและเรื่องการทำผลงาน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมาก อาจจะส่งกระทบต่อเรื่องการเรียนการสอนของนักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พยายามปรับเพื่อให้สอดรับกับเรื่องการเรียนการสอน มากขึ้นและที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในแผนการปฏิรูปคือ โครงการที่จะให้ท้องถิ่นไปค้นหาครูที่ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอนเป็นหลัก โดยจะดึงบุคคลเหล่านี้มาและจะได้รับแรงจูงใจอาจจะเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้ จะกระตุ้นให้ครูกลุ่มนี้ไปเป็นผู้ฝึกครูใหม่ เพื่อเข้าสู่ระบบที่จะขยายผลครูที่สอนดีและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างเต็ม ที่ อีกทั้ง ภาคธุรกิจเอกชนยังสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการมาช่วยสร้างแรงจูงใจและมีส่วน ร่วมในการทำโครงการนี้ด้วยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-33921711993079763112011-01-04T02:50:00.001-08:002011-01-04T02:50:59.827-08:00ครูยุคใหม่ครูยุคใหม่ กำลังเป็นกระแสในสังคมที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์และคำถาม เช่น ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน? ทำไมต้องมีครูยุคใหม่? ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร? ครูยุคใหม่พัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?<br /><br />คำตอบจากคำถามข้างต้น น่าจะเป็นดังนี้ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน?- ครูยุคใหม่ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการศึกษา<br /><br />- ครูยุคใหม่ เป็นนักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ และนักวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน<br /><br />- ครูยุคใหม่ เป็นครูโดยจิตวิญญาณ มีจิตวิทยาและศิลปะในการสอนและการถ่ายทอดความรู้<br /><br />- ครูยุคใหม่ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่<br /><br />- ครูยุคใหม่ มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการเรียนการสอน<br /><br />- ครูยุคใหม่ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และสังคม<br /><br />ครูยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติข้างต้น จึงไม่ใช่เฉพาะครูใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงครูทุกคนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นครูเก่าหรือครูใหม่ คือครูยุคใหม่<br /><br />ทำไมต้องมีครูยุคใหม่?คงต้องยอมรับเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ดังข้อมูลต่อไปนี้<br /><br />ผลการประเมินของโครงการ Program for International Student Assessment (PISA) ที่ดำเนินการโดย Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ทำการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการทุก 3 ปี มีผลการประเมินการรู้เรื่อง(Literacy) ใน 3 ด้าน ในปี 2549 ดังนี้<br /><br />- ด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศเกาหลีได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 556 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ 500<br /><br />- ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematic Literacy) ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศจีน-ไทเป ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 549 คะแนนเฉลี่ยOECD คือ 500<br /><br />- ด้านการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Science Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 421 ประเทศฟินแลนด์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 563 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ500 (แหล่งที่มา : โครงการ PISA ของ OECD)<br /><br />ส่วนผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ปี2552 มีผลการสอบเฉลี่ยร้อยละ ดังนี้<br /><br />- ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 38.58 ภาษาอังกฤษ 31.75 คณิตศาสตร์ 35.88 วิทยาศาสตร์ 38.67 สังคมศึกษา 33.91<br /><br />- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาษาไทย 35.35 ภาษาอังกฤษ 22.54 คณิตศาสตร์ 26.04 วิทยาศาสตร์ 29.16 สังคมศึกษา 39.70<br /><br />- ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 46.47 ภาษาอังกฤษ 23.98 คณิตศาสตร์ 28.55 วิทยาศาสตร์ 31.03 สังคมศึกษา 36.01<br /><br />(แหล่งที่มา : สถาบันทดสอบทางการศึกษา(องค์การมหาชน)<br /><br />จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ และ "การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนเกือบทุกครั้งยังน่าผิดหวัง"(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 14 พ.ค.2552)<br /><br />ส่วนผลการวิจัยของ sir michael barber โดยMckinsey & Company พบว่า ประสบการณ์ของประเทศที่มีผลการประเมินสูงอยู่ในสิบอันดับแรกสรุปได้ถึง ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของระบบโรงเรียน 3 ประการ ดังนี้<br /><br />1.การคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเป็นครู (Getting the right people to become teachers)<br /><br />2.การพัฒนาให้เป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ(Developing them into effective instructors)<br /><br />3.การประกันระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนทุกคน (Ensuring that the system is able to deliver the best possible instruction for every chilld)<br /><br />การผลิตครูและพัฒนาครูยุคใหม่ตามนิยามข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br /><br />ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร?- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาครูในระบบ ซึ่งเป็นครูประจำการที่มีจำนวนมากประมาณ 700,000 คน อาทิ ครู สพฐ. ประมาณ500,000 คน ครู สอศ. ประมาณ 50,000 คน ครูสช. ประมาณ 100,000 คน ครู อปท. ประมาณ50,000 คน เป็นต้น การจะพัฒนาครูในระบบสู่ความเป็นครูยุคใหม่ได้อย่างไร? คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาที่รับผิดชอบต้องดำเนินการ ทราบว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยมองการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเป็นองค์รวม โดยมีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้รับผิดชอบ<br /><br />- การผลิตครูยุคใหม่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิรูปโดยการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและมี สิ่งจูงใจที่เหมาะสมโครงการครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นการผลิตครูเพื่อทดแทนครูที่ จะเกษียณอายุราชการของกระทรวงศึกษาธิการประมาณ 200,000 คน ตามมติ ครม. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 ครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นผลผลิตที่จะสนองตอบความเป็นครูยุคใหม่ในระบบการผลิตครู คุณภาพ<br /><br />- ในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ทดแทนครูเกษียณอายุราชการ รัฐบาลได้เริ่มโครงการทุนครูยุคใหม่ระหว่างปี 2552-2561 โดยมีทุน 2 ประเภท ได้แก่ประเภทที่ 1 มีทุนการศึกษาและมีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) กับประเภทที่ 2 มีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) รวมทั้ง 2 ประเภท จำนวน 33,600 ทุน และอาจจะขยายจำนวนทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการรับทุนเต็มรูปแบบจะเริ่มในปีการศึกษา 2554 โดยมีหลักการดังนี้<br /><br />คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา1.1 หลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี ผู้สมัครรับทุนต้อง<br /><br />- มีคะแนนผลการเรียน ม.ปลาย เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00 และผลการเรียนในวิชาเอก (ถ้ามี) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00<br /><br />- มีคะแนนผลการสอบ O-NET, GAT, PAT อยู่ในกลุ่มสูงร้อยละสามสิบ (Top Thirty) ของกลุ่มผู้สอบในแต่ละปี<br /><br />- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 400, computer based ไม่น้อยกว่า 97, internet based ไม่น้อยกว่า 32) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 3.5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br /><br />1.2 หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี (รับผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี) ผู้สมัครรับทุนต้อง<br /><br />- มีคะแนนผลการเรียนเฉลี่ย และผลการเรียนวิชาเอกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00<br /><br />- มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 450, computer based ไม่น้อยกว่า 133, internet based ไม่น้อยกว่า 45) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 4 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ.รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br /><br />1.3 หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีจะมีนิสิต/นักศึกษารับทุนเป็นปีสุดท้าย กรณีที่มีทุนเหลือจากหลักสูตรปริญญาตรี ควบโท 6 ปี และหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี<br /><br />เงื่อนไขระหว่างการศึกษา ต้องได้คะแนนรวมเฉลี่ยคะแนนวิชาเอกเฉลี่ย และคะแนนวิชาชีพครูเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.00 ทุกกลุ่ม<br /><br />เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติทั้งก่อนเข้าศึกษา และระหว่างศึกษาอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณภาพที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเช่นมี คะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 500, computer based ไม่น้อยกว่า173, internet based ไม่น้อยกว่า 61) หรือ IELTS ไม่น้อยกว่า 5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาต่างประเทศ) จึงอาจเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราเงินเดือนสูงกว่าระดับปริญญาโทปกติได้<br /><br />ครูยุคใหม่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?ครูยุคใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเท่านั้น ดังนั้น นอกจากครูยุคใหม่แล้ว นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลยังได้กำหนดการพัฒนาคุณภาพทั้งสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการบริหารจัดการใหม่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ตามปฏิญญาการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สอง (2552-2561) ที่มีเป้าหมายคือ<br /><br />คนไทยยุคใหม่ มีสมรรถนะการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล (IMD), คนไทยใฝ่รู้ :สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, คนไทยใฝ่ดี : มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มีศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมและคนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น : มีความสามารถในการสื่อสารสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ริเริ่มสร้างสรรค์<br /><br />อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการ ศึกษาด้วยอาทิ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งหลักสูตรการผลิตครู หลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาคุณภาพครูของครู ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นที่ร่วมการผลิตครูยุคใหม่<br /><br />ผู้สนใจรับทุนครูพันธ์ใหม่ โปรดติดตามความคืบหน้าได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศรับสมัครผู้รับทุนครูพันธุ์ใหม่ ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2554<br /><br />ครูยุคใหม่ จึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการศึกษารอบสองAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-76420466164567887052010-12-23T21:16:00.000-08:002010-12-23T21:17:20.421-08:00ครูพันธุ์ใหม่กับครูยุคใหม่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ ผ่านมา จากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน มีการ พิจารณายุทธศาสตร์และมาตรการการปฏิรูประบบคุรุศึกษาแห่งชาติ ที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติที่มีนายวรา กรณ์ สามโกเศศ เป็นประธาน ซึ่งมีเป้าหมาย 2 เป้าหมาย คือ เป้าหมายให้คนไทยยุคใหม่ใฝ่ดี ใฝ่รู้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และเป้าหมายเพื่อคุณภาพการศึกษา<br /><br />ยุทธศาสตร์ที่นำเสนอมี 6 หัวข้อ ประกอบด้วย<br /><br />1.จัดตั้งสถาบันคุรุศึกษาแห่งชาติ<br /><br />2.ยกเครื่องระบบการพัฒนาและฝึกอบรมครู<br /><br />3.สร้างครูพันธุ์ใหม่<br /><br />4.ส่งเสริมนวัตกรรมหลักสูตรการผลิตครู<br /><br />5.ยกเครื่องระบบการบริหารงานบุคคลของครูและบุคลากรทางการศึกษา<br /><br />6.เสริมสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งให้สถาบันการผลิตครู<br /><br />ทั้ง 6 ประการคณะ กนป.เห็นว่าควรทบทวนการจัดตั้งสถาบันคุรุศึกษาแห่งชาติไว้ก่อน เนื่องจากการจัดตั้งต้องออกเป็นกฎหมาย ต้องใช้เวลานาน จึงเสนอให้กลไกของคณะอนุกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติทำงานคู่ขนานกับหน่วยการ ผลิตครู และให้อนุกรรมการรวบรวมตัวเลขการผลิตครูให้ชัดเจน จากการเกษียณราชการปกติ และเกษียณก่อนกำหนด รวมทั้งขอให้เร่งรัดจัดทำหลักสูตรการผลิตครู<br /><br />สำหรับครูที่จะเกษียณราชการใน 10 ปีข้างหน้ามีถึง 200,000 คน<br /><br />เฉพาะเรื่องของครูพันธุ์ใหม่ ซึ่งคณะอนุกรรมการแจงออกเป็น ครูพันธุ์ใหม่ และครูยุคใหม่ กล่าวคือ<br /><br />ครู พันธุ์ใหม่ หมายถึง ครูที่ผลิตขึ้นมาโดยหลักสูตรใหม่ที่หลากหลาย (หลักสูตร 4+1, 4+2, 5+1, หลักสูตร 2 ปริญญา และหลักสูตรอื่นๆ) ในสาขาวิชาต่างๆ (ครู สควค. ครูสอนภาษาต่างประเทศ และสาขาอื่นๆ)<br /><br />ครูยุคใหม่ หมายถึง ครูประจำการที่ได้รับการพัฒนาโดยหลักสูตรใหม่และรูปแบบที่หลากหลาย<br /><br />การ จะได้มาซึ่งครูพันธุ์ใหม่ต้องมีการสร้างเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการเรียน รู้ของผู้เรียน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนการผลิตในรูปแบบใหม่ เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกคนดี คนเก่ง เข้ามาศึกษาในหลักสูตรการผลิตครูตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในสถาบันผลิตครู ที่มีความเชี่ยวชาญ<br /><br />แรงจูงใจจึงต้องมีทั้งในรูปแบบการให้ทุนการ ศึกษา การประกันการมีงานทำด้วยการบรรจุเข้ารับราชการครูในพื้นที่ที่กำหนดเมื่อ สำเร็จการศึกษา<br /><br />สำหรับครูยุคใหม่ มาตรการระยะสั้นเร่งด่วน คือการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาและฝึกอบรมครูจากแบบ "เหมารวม" มาเป็น "แบบหลากหลาย" เพื่อให้อิสระครูเลือกเข้ารับการอบรมได้ตามความต้องการและสอดคล้องกับวิชา ที่สอน ด้วยการจัดระบบคูปองเพื่อการพัฒนาตนเองของครู และเน้นการกระจายสู่พื้นที่ (Area-based Training) และ Outsourcing System เพื่อเปิดโอกาสให้สถาบัน และที่มีผู้มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญจริงเป็นผู้จัดฝึกอบรม รวมทั้งให้ครูมีโอกาสเรียนรู้โดยเห็นตัวอย่างที่ดีจากเพื่อนครู เช่น ครูต้นแบบ ครูแห่งชาติ และควรใช้ "วิทยากรมืออาชีพ" ร่วมจัดกระบวนการพัฒนาในรูปแบบใหม่<br /><br />ขณะที่น่าเป็นห่วงคือวิชาชีพครูไม่อาจดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่เก่งและดีมาเรียนครูและประกอบอาชีพครูAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-81491098655814826432010-12-21T00:35:00.000-08:002010-12-21T00:37:25.980-08:00การเลื่อนขั้นเงินเดือน "ครูผู้ช่วย"<span style="font-weight:bold;">การเลื่อนขั้นเงินเดือน "ครูผู้ช่วย"</span><br /><br />จากการที่ได้มีการประกาศกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือ ต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับพ.ศ.2553 และจากมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 กำหนดให้ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งครูผู้ช่วยต้องได้รับการ เตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มเป็นเวลา 2 ปี ก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้รับข้อหารือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเกี่ยวกับการเลื่อนขั้น เงินเดือนครูผู้ช่วย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา ดังนี้<br /><br />สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ขอหารือว่ากรณีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ได้ผ่านการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มแล้วและได้รับอนุมัติให้ดำรง ตำแหน่งครูในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 จะปรับให้ได้รับเงินเดือนตามกฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าวข้างต้นก่อนเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี หรือจะเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีก่อน แล้วจึงปรับให้ได้รับเงินเดือนตามกฎ ก.ค.ศ.<br /><br />จากข้อหารือดังกล่าวข้างต้น ก.ค.ศ.พิจารณาแล้ว มีมติให้ครูผู้ช่วยที่ผ่านการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มแล้วและได้ รับอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งครู ในวันที่1 ตุลาคม 2553 ปรับเงินเดือนตามกฎก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับพ.ศ.2553 ก่อน แล้วจึงสั่งให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี<br /><br />ยกตัวอย่าง เช่น 1) นาย ก ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วยคุณวุฒิปริญญาตรี 4 ปี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 อัตราเงินเดือนแรกบรรจุ 7,940 บาท ผ่านการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปีแล้วและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ต้องปรับให้ได้รับเงินเดือนในอันดับ คศ.1 ขั้น 10,770 บาทก่อน แล้วจึงสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี 2)นาย ข ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วยคุณวุฒิปริญญาโททั่วไป วันที่ 1 ตุลาคม 2553 อัตราเงินเดือนแรกบรรจุ9,700 บาท เมื่อผ่านการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปีแล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครู ในวันที่ 1 ตุลาคม2553 ต้องปรับให้ได้รับเงินเดือนในอันดับคศ.1 ขั้น 13,240 บาทก่อน แล้วจึงสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี และ 3) นาย ค.ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วยคุณวุฒิปริญญาเอก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2551 อัตราเงินเดือนแรกบรรจุ 13,110 บาท เมื่อผ่านการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปีแล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครู ในวันที่ 1 ตุลาคม2553 ต้องปรับให้ได้รับเงินเดือนในอันดับคศ.1 ขั้น 17,560 บาทก่อน แล้วจึงสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี<br /><br />ยังมีคำอธิบายประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือ ต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ.2553 ที่น่าสนใจอีกหลายกรณี จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-15967131915970128742010-12-13T23:42:00.000-08:002010-12-13T23:43:13.098-08:00ปี 54 ประเดิมใช้ข้อสอบคู่ขนานรศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้รายงานผลการดำเนินงานของตน ในช่วงที่มารับตำแหน่งผอ.สทศ.คนใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการบริหาร สทศ.รับทราบว่า ได้มีการหารือกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของสทศ. เจ้าหน้าที่โรงพิมพ์ที่ต้องพิมพ์ ข้อสอบต่าง ๆ และคณะกรรมการออกข้อสอบทุกวิชาแล้ว โดยทุกคนรับปากจะพิมพ์ข้อสอบ ออกข้อสอบ และพร้อมดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้เดิมทั้งหมด เช่น การทดสอบอาชีวศึกษาระดับชาติ หรือ V-NET จะสอบในวันที่ 23 ม.ค. 54 การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET สอบวันที่ 19-20 ก.พ. 54 และการทดสอบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และ ทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการหรือ PAT จำนวน 14 วิชา สอบวันที่ 5-8 มี.ค. 54 เป็นต้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่คณะทำงานชุดเดิมของ ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน อดีต ผอ.สทศ.ลาออกยกชุด ว่าขณะนี้มีความพร้อมในเรื่อง ดังกล่าวแล้ว โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากชุดเดิม และผู้ที่มีความสามารถจากภาคอื่น ๆ มาช่วย ซึ่งทำให้บอร์ด สทศ.สบายใจมากขึ้น<br /><br />“ในสัปดาห์นี้ผมจะเชิญผู้บริหารศูนย์สอบต่าง ๆ รวมถึงคณะกรรมการออกข้อสอบมาประชุมเพื่อชี้แจง และยืนยันถึงการดำเนินการจัดทดสอบต่าง ๆ ที่จะเป็นไปตามกำหนดเดิม และจะยืนยันเเรื่อง การออกข้อสอบและเริ่มใช้ข้อสอบคู่ขนานในการสอบ O-NET ของนักเรียนชั้น ม.6 ในปี 2554 เป็นครั้งแรก และต้องมาดูเรื่องการทำคลังข้อสอบ เพื่อพัฒนาข้อสอบและให้ได้ข้อสอบที่มีคุณภาพที่สุดด้วย”ผอ.สทศ.กล่าวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-72140308518647791282010-12-13T07:23:00.000-08:002010-12-13T07:24:20.855-08:00ครม.ไฟเขียว กฎ ก.ค.ศ.ผ่าทางตันเงินเดือนครูครูเฮ! ลั่น แท่งเงินเดือนใหม่ หลังลากยาวนาน 5 ปี"ชินวรณ์"ชี้ขรก.ครู 3 กลุ่ม ที่ได้อานิสสงค์ โดยเฉพาะครูผู้ช่วยที่บรรจุก่อนปี 47 จะขยับขึ้นแท่ง คศ.1 รับเต็มขั้น 10,770 บาท หากมีวุฒิ ป.เอก เพดานสูงสุด 17,560 บาท<br /><br /><br />นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิด เผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ก.ค.53 ได้เห็นชอบร่าง กฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินเดือนสูงกว่า หรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ.(...) ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2547 ที่มี พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ซึ่งกำหนดตาม มาตรา 44 ให้มีการออกกฎ ก.ค.ศ.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่จะให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่า หรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ รวมถึงการกำหนดให้ใครไปอยู่ในอันดับใด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีความพยายามที่จะนำเสนอเข้า ครม.แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมาได้ผ่านความเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ในวันถัดไปทันที<br /><br />รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ร่าง กฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว มีผลให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3 กลุ่ม ได้รับเงินเดือนสูงกว่า หรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ดังนี้ 1.กลุ่มที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นต่ำ หรือต่ำกว่าขั้นต่ำของระดับเงินเดือน หรือครูที่ได้รับการบรรจุก่อนปี 2547 ซึ่งไม่สามารถปรับเข้าสู่แท่งเงินเดือนใหม่ได้ ผลของกฎ ก.ค.ศ.จะทำให้สามารถเข้าสู่แท่งเงินเดือนใหม่ ตามตารางเทียบขั้นเงินเดือนแนบท้าย ได้แก่ ครูผู้ช่วยที่จบปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี อัตราเงินเดือนแรกบรรจุ 7,940 บาท หากผ่านการพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปี จะเข้าสู่แท่ง คศ.1 อัตราเงินเดือน 10,770 บาท, ครูผู้ช่วยที่จบปริญญาโททั่วไป เงินเดือนแรกบรรจุ 9,700 บาท หากผ่านการพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปี จะเข้าสู่แท่ง คศ.1 อัตราเงินเดือน 13,240 บาท และครูผู้ช่วยที่จบปริญญาเอก หรือเทียบเท่า อัตราเงินเดือนแรกบรรจุ 13,110 บาท หากผ่านการพัฒนาอย่างเข้ม 2 ปี จะเข้าสู่แท่ง คศ.1 อัตราเงินเดือน 17,560 บาท<br /><br />รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มที่ 2.กลุ่มที่เพดานเงินเดือนตัน ในอันดับ คศ.3 และ คศ.4 เช่น ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเงินเดือนตันมาแล้ว 4-5 ปี ที่อัตราเงินเดือน 50,550 บาท จะได้รับการเลื่อนเข้าสู่ คศ.5 อัตราเงินเดือนที่ 51,590 บาท และ3.กลุ่มที่โอนย้ายจากบุคลากรทางการศึกษาอื่น มาเป็นข้าราชการครูที่ระดับเงินเดือนไม่เท่ากัน ให้สามารถรับเงินเดือนได้ในอัตราใกล้เคียงหรือสูงกว่า<br /><br />“ร่างกฎ ก.ค.ศ.ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ครูรอคอยมาตั้งแต่ปี 2547 เมื่อ ครม.ให้ความเห็นชอบ ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และโอกาสในความก้าวหน้าของข้าราชการครูได้ ซึ่งเป็นโอกาสและความก้าวหน้าตามปกติที่ใช้กับ ข้าราชการพลเรือนมาแล้ว เพราะขณะนี้มีครูจำนวนหนึ่งยังไม่ได้เข้าสู่แท่งเงินเดือน คศ.1 เมื่อร่างกฎ ก.ค.ศ.ผ่านได้มี ครูโทรศัพท์มาขอบคุณ”นายชินวรณ์ กล่าวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-89551793798326673842010-12-13T07:20:00.000-08:002010-12-13T07:21:27.094-08:00ทำอย่างไรจึงได้ครูเก่งครูดีเหตุผล หนึ่งของยุทธศาสตร์และมาตรการการปฏิรูประบบคุรุศึกษาของประเทศที่คณะอนุกรรม การคุรุศึกษาแห่งชาตินำเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการในสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่าง ยิ่งขณะนี้ คือ วิชาครูไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่เก่งและดีมาเรียนครูและไม่ประกอบอาชีพ ครู หลักสูตรและกระบวน การผลิตครูขาดความลุ่มลึกของศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะประกอบวิชาชีพครู ไม่ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา<br /><br />รวม ไปถึงขาดความกลมกลืนระหว่างความเป็นสากลกับฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไทย ไม่เน้นการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องและจริงจังด้านคุณค่า คุณธรรม จิตวิญญาณของความเป็นครู จึงทำให้ครูไม่สามารถเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา<br /><br />อีก ประการหนึ่งที่คณะอนุกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติเน้นย้ำ คือการขาดแคลนคณาจารย์ (ครูของครู) ที่มีคุณวุฒิ ประสบ การณ์สูง และมีความลุ่มลึกในสาระวิชาที่สอน เป็นเหตุให้ต้องพึ่งคณะอื่น เช่น วิทยา ศาสตร์ อักษรศาสตร์ ช่วยสอนสาระวิชาเอกให้ ซึ่งมีอุปสรรค ขาดความคล่องตัว สถาบันผลิตครูขาดความเป็นองค์รวมของการจัดศาสตร์ในสาขาครุศาสตร์/ศึกษา ศาสตร์ เพราะสถาบันผลิตครูที่มีอยู่แต่เดิมเปลี่ยนเป้าหมายการผลิตครูไปเน้นการ สร้างหลักสูตรของศาสตร์ต่างๆ จนเกิดเป็นคณะต่างๆ และกลายเป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ<br /><br />คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จึงเป็นเพียงคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้รับความสนใจมาก สภาพการณ์เช่นนี้ส่งผลให้สถาบันผลิตครูขาดความพร้อมและความเข้มแข็งที่จะทำ หน้าที่ผลิตครูให้ได้ตามคุณภาพและมาตรฐานอันพึงประสงค์<br /><br />ที่สำคัญคือ ขาดสถาบันกลางระดับชาติที่จะทำหน้าที่เสริมสร้างเอกภาพทางด้านนโยบาย คุณภาพและมาตรฐานการผลิต การใช้ และการพัฒนาครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศึกษา ให้ศึกษาและวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมทั้งด้านวิชาการและ วิชาชีพทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง<br /><br />สถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็น ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมีการปฏิรูปคุรุศึกษาของประเทศทั้งระบบ เพื่อให้มีการผลิตครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br /><br />ประการ ดังกล่าวย่อมส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผู้เรียน และเป็นการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา การเรียนรู้ของคนไทยได้ตามเป้าประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ สองอย่างแท้จริง<br /><br />เมื่อรัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองยังไม่รับเรื่องการจัด ตั้งสถาบันคุรุศึกษาแห่งชาติ โดยให้กลับไปทบทวนอีกครั้ง แต่การดำเนินงานตามข้อเสนออีก 5 ประการก็ควรดำเนินต่อไป<br /><br />ประการแรก คือการส่งเสริมนวัตกรรม หลักสูตรการผลิตครูที่หลากหลายโดยมีมาตรการดังนี้<br /><br />1.ศึกษา วิจัย พัฒนาองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมหลักสูตรให้เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง<br /><br />2.ปรับ ปรุงโครงสร้างและสาระหลัก สูตรการผลิตครูพันธุ์ใหม่ให้มีความหลากหลาย เช่น หลักสูตร 4 + 1, 4 + 2, 5 + 1, หลักสูตร 2 ปริญญา และหลักสูตรอื่น รวมทั้งให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์<br /><br />3.ปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรระดับบัณฑิต ศึกษาให้ชัดเจนระหว่างหลักสูตรสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีสาขาวิชาชีพอื่น และหลักสูตรสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีสาขาวิชาการศึกษา<br /><br />นอกจากนั้นยังต้องยกเครื่องระบบ บริหารงานบุคคลของครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เหมาะสมกับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง<br /><br />มาตรการในการดำเนินงานมีหลายประการ จะได้ยกมากล่าวถึงต่อไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-12567837718216892222010-12-12T06:01:00.001-08:002010-12-12T06:01:54.660-08:00ก.ค.ศ.ไฟเขียวร่าง พ.ร.ฎ.ขึ้นเงินเดือนครู 5% เร่งชง กงช.ภายใน 16 ก.ค.นี้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า การประชุม ก.ค.ศ.เมื่อเร็วๆ นี้ ได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎี (พ.ร.ฎ.) การปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ.(...) พร้อมด้วยบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ท้ายร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ซึ่งได้มีการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากอัตราปัจจุบันที่ใช้อยู่ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.พร้อมด้วยตารางการปรับอัตราเงินเดือนฯ แนบท้ายร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว และจะนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) ภายในวันที่ 16 ก.ค.53<br /><br />...สำหรับตารางการปรับอัตราเงินเดือนฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 นี้ จะส่งผลให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินเดือนสูงขึ้น ดังนี้<br /><br />อันดับครูผู้ช่วย จากเดิม 7,940-16,840 บาท ปรับเพิ่มเป็น 8,340-17,690 บาท<br /><br />อันดับ คศ.1 จากเดิม 7,940-27,500 บาท เป็น 8,340-28,880 บาท<br /><br />อันดับ คศ.2 จากเดิม 12,530-33,540 บาท เป็น 13,160-35,220 บาท<br /><br />อันดับ คศ.3 จากเดิม 12,530-47,450 บาท เป็น 13,160-49,830 บาท<br /><br />อันดับ คศ.4 จากเดิม 23,230-50,550 บาท เป็น 24,400-53,080 บาท<br /><br />และอันดับ คศ.5 จากเดิม 28,550-64,340 บาท เป็น 29,980-67,560 บาท<br /><br />รมว.ศึกษาธิการ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูฯ นั้น ขณะนี้ กงช.ได้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เลขาธิการ ครม.ได้ส่งหนังสือเรื่องการยื่นร่าง พ.ร.บ.เงิน เดือนฯ มาให้ ศธ.ให้ความเห็นนั้น ก็ได้มอบหมายให้ ก.ค.ศ.ดำเนินการว่า ศธ.เห็นชอบและยืนยันตามโครงสร้างบัญชีเงินเดือนที่ ได้เสนอไป เพื่อให้การปรับโครงการสร้างเงินเดือนของข้าราชการครูฯ ได้เท่าเทียมกับข้าราชการในกลุ่มอื่น<br /><br /><br /><br />ที่มา - สยามรัฐออนไลน์<br />http://www.siamrath.co.th/?q=node/39556<br /><br />-----------------------------------------------------------------<br /><br />ครูเฮ! เงินเดือนขึ้น<br /><br /><br />รัฐบาลไฟเขียวเสนอขึ้นเงินเดือนครู 5% หวังรักษาคนเก่งไว้ในระบบ<br /><br /><br />วันนี้ (30 มิ.ย.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า จากการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณการปรับปรุงค่าตอบแทน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูด และรักษาคนเก่ง คนดีไว้ในระบบราชการ และเพื่อยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของข้าราชการ<br /><br />สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.2554 รัฐบาลได้จัดงบกลางรายการค่าใช้จ่าย การปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ จำนวน 39,792 ล้านบาท ซึ่งทางคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ได้เชิญเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการทุกประเภท และหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนรายเดือนบุคลากรภาครัฐมาหารือกันแล้ว มีมติเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท จัดทำข้อเสนอการปรับบัญชีเงินเดือนในอัตราร้อยละ 5 เท่ากัน จากนั้น ให้ส่งร่างกฎหมายการปรับขึ้นเงินเดือนดังกล่าวให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ พิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) ภายในวันที่ 16 ก.ค.นี้ เพื่อเสนอ กงช.ต่อไป.<br /><br /><br /><br /><br />ที่มา - เดลินิวส์ออนไลน์<br />http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=75278Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-38912743923375922832010-12-12T05:59:00.000-08:002010-12-12T06:00:17.794-08:00เปิดแท่งเงินเดือน “ครู” พุ่งขึ้น18%นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการผลักดันร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.(...) ที่ยกร่างขึ้นใหม่ว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งตนได้ยืนยัน ที่จะเสนอปรับอัตราเงินเดือนขั้นสูง จาก 64,340 บาท เป็น 66,480 บาท แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) คณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) และสำนักงบประมาณ จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เนื่องจากจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่นๆ เช่น อัตราเงินวิทยฐานะ ของผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ที่ ก.ค.ศ.กำหนดจากอัตราสูงสุดเป็น 15,600 บาท ซึ่งจะเหลื่อมล้ำกับอัตราเงินประจำตำแหน่งสูงสุด ประเภทวิชาการ อย่าง ศาสตราจารย์ ระดับ11 ระดับทรงคุณวุฒิของข้าราชการพลเรือนสามัญ<br /><br />ทั้งนี้ ตนจะประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะเร่งนำเสนอ ครม.เนื่องจากรัฐบาลต้องการผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาภาพรวมทั้ง ระบบการศึกษา ในด้านการสอนของข้าราชการครูฯ ที่มีนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ เป็นประธาน<br /><br />รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ดี ได้มอบหมายให้นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัด ศธ.และนายประเสริฐ งามพันธุ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. นำความเห็นของหน่วยงานต่างๆ มาศึกษาเปรียบเทียบบัญชีอัตราเงินเดือน ขั้นต่ำ ขั้นสูง ของข้าราชการครูฯ ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแนบท้าย พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กับร่างบัญชีเงินเดือนข้าราชการครูฯ ฉบับใหม่ มีดังนี้<br /><br />ครูผู้ช่วย ขั้นต่ำชั่วคราว ยังคงอัตราเดิมที่ 7,940 บาท/เดือน, ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 8,700, ขั้นสูง ยังคงอัตราเดิมที่ 16,840<br /><br />ส่วน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (คศ.1) ขั้นต่ำชั่วคราว อัตราเดิม 7,940 อัตราใหม่ 8,130 ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 11,930 ขั้นสูง อัตราเดิม 27,500 อัตราใหม่ 29,700 เพิ่มขึ้น 8%,<br /><br />คศ.2 ชำนาญการ ขั้นต่ำชั่วคราว ยังคงอัตราเดิมที่ 12,530 ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 15,410 ขั้นสูง อัตราเดิม 33,540 อัตราใหม่ 36,020 เพิ่มขึ้น 7.39%<br /><br />คศ.3 ชำนาญการพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว ยังคงอัตราเดิมที่ 12,530 ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 18,910 ขั้นสูง อัตราเดิม 47,450 อัตราใหม่ 50,550เพิ่มขึ้น 6.33%<br /><br />คศ.4 เชี่ยวชาญ ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 23,230 ขั้นสูง อัตราเดิม 50,550 อัตราใหม่59,770 เพิ่มขึ้น 18.9%<br /><br />และ คศ.5 เชี่ยวชาญพิเศษ ขั้นต่ำ ยังคงอัตราเดิมที่ 28,550 ขั้นสูง อัตราเดิม 64,340 อัตราใหม่ 66,480 เพิ่มขึ้น 3.32%<br /><br /><br /><br /><br />ที่มา - สยามรัฐออนไลน์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-39478557146685949522010-12-12T05:34:00.000-08:002010-12-12T05:48:57.349-08:00เตรียมสอบบรรจุครูผู้ช่วย สพฐ.ครูใหม่ 1.7 หมื่นคน ปี 2554<span style="font-weight:bold;">เตรียมสอบบรรจุครูผู้ช่วย สพฐ.ครูใหม่ 1.7 หมื่นคนปีงบประมาณเมษายน 2554</span><br /><br />นายกมล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ปีงบประมาณ 2554 ของ สพฐ. ว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ทำหนังสือ ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการใช้เงินเหลือจ่ายของ สพฐ. ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อการบรรจุบุคลากรทดแทนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าโครงการ เออร์ลี่รีไทร์ จำนวน 12,860 คน ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออัตราเกษียณอายุราชการปี 2552 จำนวน 4,160 อัตรา คืนตามมติ ครม. ที่ให้คืนอัตราเกษียณฯปกติทั้ง 100% แก่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องจากขาดแคลนครู<br />"เลขาธิการ กพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารอ เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรอัตราคืนแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แล้ว และได้มีการสำรวจข้อมูลของแต่ละเขตพื้นที่ฯ แล้วว่าขาดอัตราเท่าใด ดังนั้นหาก คปร.อนุมัติ สพฐ.จะเร่งจัดสรรให้ทันที เพื่อให้เขตพื้นที่ฯจัดสรรอัตราลงสถานศึกษาต่อไป" นายกมลกล่าวและว่า สำหรับอัตราที่เขตพื้นที่ฯได้คืนนั้น สามารถนำไปเปิดสอบใหม่หรือจะเรียกจากบัญชีเดิมมาบรรจุก็ได้ ทั้ง นี้จะมีการสำรวจอัตราว่างในสถานศึกษาทั่วประเทศอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 ก่อน จะมีการเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศในเดือน<br /> เม.ย. 2554 และบรรจุเดือน พ.ค. 2554 เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียน ที่ 1/2554 อย่าง ไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าจะ ได้อัตราคืนมาบรรจุทั้งจากเกษียณปกติและเออร์ลี่รีไทร์รวม 17,020 อัตรา เนื่องจากจะได้คืนอัตราเออร์ลี่รีไทร์ 100% เช่นกัน<br /><br />ที่มา - เดลินิวส์ออนไลน์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-3403334931556431062010-12-10T05:49:00.000-08:002010-12-10T05:58:04.554-08:00ตัวอย่างข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย<span style="font-weight:bold;">แนวข้อสอบวิชาความรอบรู้ (ครูผู้ช่วย)</span><br /><br /><span style="font-weight:bold;">1. นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลข้อใดกล่าวผิด?</span><br /><br />ก. การสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจ<br /><br />ข. การรักษาและเพิ่มรายได้ของประชาชน<br /><br />ค. การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน<br /><br />ง. การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต<br /><br /><span style="font-weight:bold;">2. นโยบายระยะการบริหารราชการ 3 ปี ข้อใดกล่าวผิด</span><br /><br />ก. ความมั่นคงของรัฐ, เศรษฐกิจ<br /><br />ข. สังคม และคุณภาพชีวิต การสร้างความสมานฉันท์<br /><br />ค. ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, วิทยาศาสตร์และวิจัย<br /><br />ง. การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี<br /><br /><span style="font-weight:bold;">3. นโยบายในการจัดการศึกษาของ รมว.กระทรวงศึกษา ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง</span><br />ก. เรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ<br /><br />ข. การสร้างแหล่งเรียนรู้ราคาถูก<br /><br />ค. การพัฒนาครู TEACHER CHANNEL<br /><br />ง. ส่งเสริมองค์ความรู้และเน้น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์<br /><br /><span style="font-weight:bold;">4. ข้อใดไม่ใช่นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของ สพฐ?</span><br />ก. ค่าหนังสือเรียน<br /><br />ข. ค่าอุปกรณ์การเรียน<br /><br />ค. ค่าเครื่องแบบนักเรียน<br /><br />ง. ค่าเล่าเรียน<br /><br /><span style="font-weight:bold;">5. กิจกรรมข้อใดเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพติด?</span><br /><br />ก. Democracy<br /><br />ข. Decency<br /><br />ค. Drug-free<br /><br />ง. Decentenzation<br /><br /><span style="font-weight:bold;">6. ข้อใดหมายถึงวิสัยทัศน์การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง </span><br /><br />ก. คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ<br /><br />ข. พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ <br /><br />ค. พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ <br /><br />ง. พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่ <br /><br /><span style="font-weight:bold;">7. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน</span><br /><br />ก. นักเรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดของตนเอง<br /><br />ข. นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอน<br /><br />ค. ครูไม่ต้องเหนื่อยในการสอนเพราะมีคอมพิวเตอร์ช่วยสอน<br /><br />ง. ช่วยครูสรุปหลักการ เนื้อหา สาระของบทเรียนและทบทวนได้ตามความต้องการ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />8. สิ่งใดใช้เพื่อเป็นความรู้ฐานข้อมูลเครือข่าย<br /></span><br />ก. เวิล์ดไวด์เว็บ<br /><br />ข. กระดานข่าว<br /><br />ค. ไอซีคิว<br /><br />ง. อีเมลย์<br /><br /><span style="font-weight:bold;">9. หนังสือต่างๆ ที่จัดเก็บอยู่ในรูปซีดีรอม และเรียกอ่านด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ หมายถึงข้อใด</span><br /><br />ก. อิเล็กทรอนิกส์บุ๊ค<br /><br />ข. มัลติมีเดีย<br /><br />ค. อีเมล์<br /><br />ง. เวิล์ดไวด์เว็บ <br /><br /><span style="font-weight:bold;">10. พระราชพิธีที่เชื่อกันว่าเป็นการต้อนรับพระอิศวรและพระนารายณ์ลงมาเยี่ยมโลกคือข้อใด</span><br /><br />ก. พระราชพิธีตรียัมปวาย<br /><br />ข. พระราชพิธีเกศากันต์<br /><br />ค. พระราชพิธีสงกรานต์<br /><br />ง. พระราชพิธีสารท<br /><span style="font-weight:bold;"><br />11. ประเพณีในวันเพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา หมายถึงข้อใด</span><br /><br />ก. ประเพณียี่เป็ง<br /><br />ข. ประเพณีสงกรานต์<br /><br />ค. วันลอยกระทง<br /><br />ง. ประเพณีตักบาตรดอกไม้<br /><br /><span style="font-weight:bold;">12. “เมตตา” หมายถึงข้อใด</span><br /><br />ก. ความสงสาร<br /><br />ข. ความรัก ความปรารถนาดี<br /><br />ค. ความเบิกบานยินดี<br /><br />ง. ความวางใจเป็นกลาง<br /><span style="font-weight:bold;"><br />13. รูปแบบการพัฒนาตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้แก่ข้อใด</span><br /> ก. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ<br /> ข. ฝายแม้ว<br /> ค. แก้มลิง<br /> ง. แกล้งดิน<br /><br /><span style="font-weight:bold;">14. เป้าหมายปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเมื่อสิ้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10</span><br /> ก. 8 ปี<br /> ข. 9 ปี<br /> ค. 10 ปี<br /> ง. 11 ปี<br /><span style="font-weight:bold;"><br />15. การคาดการณ์อายุเฉลี่ยของคนไทยเมื่อสิ้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 กี่ปี</span><br /> ก. 65 ปี<br /> ข. 70 ปี<br /> ค. 75 ปี<br /> ง. 80 ปี<br /><span style="font-weight:bold;">16. “ศตวรรษใหม่แห่งเอเชีย” หมายถึงประเทศใด</span><br /> ก. ลาว – กัมพูชา<br /> ข. พม่า – เวียดนาม<br /> ค. จีน – ญี่ปุ่น<br /> ง. จีน – อินเดีย<br /><br /><span style="font-weight:bold;">17. พื้นฐานของปรัชญา“เศรษฐกิจพอเพียง” คือข้อใด</span><br /><br />ก.ความพอมี พอกิน พอใช้<br /><br />ข.ความพอประมาณ <br /><br />ค.ความมีเหตุผล <br /><br />ง.ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบ <br /><br /><span style="font-weight:bold;">18. ข้อใดกล่าวผิด</span><br /><br />ก. การศึกษา หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงาม<br /><br />ข. การประกันคุณภาพภายใน” หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน <br /><br />ค.มาตรฐานการศึกษา หมายความว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการ<br /><br />ง. ครู หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการวิจัย<br /><br /><span style="font-weight:bold;">19. ข้อใดคือความมุ่งหมาย ของการจัดการศึกษา</span><br /><br />ก. เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบรูณ์<br /><br />ข. เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง<br /><br />ค. เพื่อเป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน<br /><br />ง. เพื่อ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา<br /><br /><span style="font-weight:bold;">20. รูปแบบการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน หมายถึงข้อใด</span><br /><br />ก. การศึกษาในระบบ <br /><br />ข. การศึกษานอกระบบ <br /><br />ค. การศึกษาตามอัธยาศัย <br /><br />ง. การศึกษาขั้นพื้นฐาน <br /><br /><span style="font-weight:bold;">21. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาภาคบังคับ</span><br /><br />ก. อายุอย่างเข้าปีที่ 6 จนถึงย่างเข้าปีที่ 17<br /><br />ข. อายุย่างเข้าปีที่ 7 จนถึงย่างเข้าปีที่ 16<br /><br />ค. อายุย่างเข้าปีที่ 6 จนถึงย่างเข้าปีที่ 16<br /><br />ง. อายุย่างเข้าปีที่ 7 จนถึงย่างเข้าปีที่ 15<br /><span style="font-weight:bold;"><br />22. แนวทางการจัดการศึกษา ตาม พรบ.การศึกษา พ.ศ. 2542 คือข้อใด<br /></span><br />ก. ยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าเป็นผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด <br /><br />ข. เน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการ<br /><br />ค. จัดกระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน<br /><br />ง. ถูกทุกข้อ<br /><br /><span style="font-weight:bold;">23. กพฐ. หมายถึงข้อใด ?</span><br /><br />ก. คณะกรรมการสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /><br />ข. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /><br />ค. กรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /><br />ง. กรรมการกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /><span style="font-weight:bold;"><br />24. พรบ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 มีผลบังคับใช้เมื่อใด</span><br /><br />ก. 11 มิถุนายน 2546<br /><br />ข. 12 มิถุนายน 2546<br /><br />ค. 13 มิถุนายน 2546<br /><br />ง. 14 มิถุนายน 2546 <br /><br /><span style="font-weight:bold;">25. ต่อไปนี้บุคคลในข้อใดต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ</span><br /><br />ก. วิทยากรพิเศษ <br /><br />ข. ผู้ที่ทำหน้าที่การสอนเป็นครั้งคราว<br /><br />ค. ครู สรช. <br /><br />ง. ผู้บริหารสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอน ตำกว่าระดับปริญญา<br /><span style="font-weight:bold;"><br />26. หากพบครูปฏิบัติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครูดำเนินการข้อใดไม่ถูกต้อง</span><br /><br />ก. ทำเป็นหนังสือกล่าวหายื่นต่อคุรุสภา<br /><br />ข. ยื่นเรื่องกล่าวหาภายในหนึ่งปีนับจากวันที่รับทราบการกระทำผิด<br /><br />ค. ถ้าครูปรับปรุงพฤติกรรกมดีขึ้นก็ยื่นถอนเรื่องการกล่าวหาเพื่อระงับการดำเนินการ<br /><br />ง. เลขาคุรุสภาเสนอเรื่องต่อกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ<br /><br /><span style="font-weight:bold;">27. การพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสามารถทำได้ตามข้อใด</span><br /><br />ก. 1 ปี<br /><br />ข. 3 ปี<br /><br />ค. 5 ปี<br /><br />ง. ไม่เกิน 5 ปี<br /><br /><span style="font-weight:bold;">28. ข้อใดไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ</span><br /><br />ก. รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นทีการศึกษา<br /><br />ข. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา<br /><br />ค. ครูเชี่ยวชาญพิเศษ<br /><br />ง. เลขา กพฐ. <br /><br /><span style="font-weight:bold;">29. ข้อใดกล่าวผิด</span><br /><br />ก. ครูหมายความว่าบุคคลที่ประกอบวิชาชีพหลักด้านการศึกษาการเรียนการสอน<br /><br />ข. ผู้บริหารสถานศึกษาหมายความว่าบุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่<br /><br />ค. บุคลากรอื่นทางการศึกษาหมายความว่าศึกษานิเทศก์<br /><br />ง. หน่วยงานทางการศึกษาหมายความว่าสถานศึกษาหรือหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่กำกับ สนับสนุนส่งเสริมการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /><br /><span style="font-weight:bold;">30. บุคคลในข้อใดพิจารณาพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ</span><br /><br />ก. คุรุสภา ข. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา<br /><br />ค. คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ<br /><br />ง. สำนักงานเลขาธิการมาตรฐานวิชาชีพ<br /><br /><span style="font-weight:bold;">31. ผู้ที่จะขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต้องมีคุณสมบัติตามข้อใด</span><br /><br />ก. อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์<br /><br />ข. อายุไมต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์<br /><br />ค. มีวุฒิปริญญาโทภาคบริหารสำหรับผู้บริหาร<br /><br />ง. ผ่านการทดสอบความรู้ตามที่คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพกำหนด<br /><br /><span style="font-weight:bold;">32. ใครดำรงดำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน </span><br /><br />ก. นายแพทย์เกษม วัฒนชัย<br /><br />ข.นายจุลินทร์ ลักษณวิศิษฐ์<br /><br />ค. นายชินภัทร์ ภูมิรัตน์ <br /><br />ง. นายชินวรณ์ บุญเกียรติ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />33. วิชาชีพ หมายถึงข้อใด</span><br /><br />ก. วิชาชีพครู <br /><br />ข. วิชาชีพบริหารการศึกษา <br /><br />ค. วิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น<br /><br />ง. ถูกทุข้อ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />34. คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่ มีกี่คน<br /></span><br />ก. 9 คน<br /><br />ข. 12 คน<br /><br />ค. 17 คน<br /><br />ง. 28 คน<br /><span style="font-weight:bold;"><br />35. ข้อใดไม่ใช่โทษทางวินัย</span><br /><br />ก. ภาคทัณฑ์ ข. ตัดเงินเดือน<br /><br />ค. ปลดออก ง. ให้ออก<br /><br /><span style="font-weight:bold;">36. ข้าราชการครูออกจากราชการครูเมื่อใด</span><br /><br />ก. ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ<br /><br />ข. ลาออก<br /><br />ค. พ้นราชการตาม กฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ<br /><br />ง. ถูกทุกข้อ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />37. ผู้มีอำนาจปรับปรุงบัญชีเงินเดือนคือใคร</span><br /><br /> ก. กคศ. ข. สกศ.<br /><br /> ค. กงช. ง. ครม.<br /><span style="font-weight:bold;"><br />38. ข้อใดหมายถึงโรคที่ต้องห้ามตามมาตรา 30(5)</span><br /><br />ก. วัณโรคในระยะติดต่อ<br /><br />ข. โรคเท้าช้าง<br /><br />ค. โรคติดยาเสพติดให้โทษ<br /><br />ง. โรคพิษสุราเรื้อรัง<br /><span style="font-weight:bold;">39. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขออนุญาตลาไปศึกษาฝึกอบรม เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือวิชาชีพ โดยอนุมัติ ก.ค.ศ. หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการมีสิทธิได้รับการพิจารณา เลื่อนขั้นเงินเดือนในระหว่างลาไปศึกษา ไม่เกินครั้งละครึ่งขั้น และมีผลการศึกษาตามที่กำหนด ข้อใดกล่าวผิด</span><br /><br />ก. ระดับปริญญาตรี มีผลการศึกษาสะสมตามหลักสูตร ไม่ต่ำกว่า 2.5<br /><br />ข. ระดับปริญญาโท มีผลการศึกษาสะสมตามหลักสูตร ไม่ต่ำกว่า 3.2<br /><br />ค. ระดับปริญญาเอก มีผลการศึกษาสะสมตามหลักสูตร ไม่ต่ำกว่า 3.5<br /><br />ง. กำหนดผลการศึกษาตามการอนุมัติการจบหลักสูตรของสถาบันฯ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />40. ข้อใดคือความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ที่ร้ายแรง</span><br /><br />ก. ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด <br /><br />ข. กระทำความผิดวินัยไม่ร้ายแรง แล้วทำหนังสือสารภาพต่อผู้บังคับบัญชา<br /><br />ค. ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือหนักกว่าจำคุก<br /><br />ง. ถูกทุกข้อ<br /><span style="font-weight:bold;"><br />41. การลามีกี่ประเภท</span><br /><br />ก. 5 ประเภท<br /><br />ข. 7 ประเภท<br /><br />ค. 9 ประเภท<br /><br />ง. 11 ประเภท<br /><br /><span style="font-weight:bold;">42. การลาคลอดบุตรได้รับเงินเดือนครั้งหนึ่งได้ไม่เกินกี่วัน</span><br /><br />ก. 30 วัน<br /><br />ข. 45 วัน<br /><br />ค. 60 วัน<br /><br />ง. 90 วัน<br /><br /><span style="font-weight:bold;">43. ข้อใดหมายถึงการศึกษาภาคบังคับ ?</span><br /><br />ก. อนุบาล – ป.6<br /><br />ข. ป.1 – ม.3<br /><br />ค. ป.1 – ม.6<br /><br />ง. ม.1 – ม.6<br /><br /><span style="font-weight:bold;">44. “ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพนักเรียน” ควรลงโทษระดับใด ?</span><br /><br />ก. ว่ากล่าวตักเตือน<br /><br />ข. ทำทัณฑ์บน<br /><br />ค. ตัดคะแนนความประพฤติ<br /><br />ง. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม<br /><span style="font-weight:bold;"><br />45. ข้อใดเป็นเวลาเริ่มทำงานของสถานศึกษา ?</span><br /><br />ก. เริ่มทำงาน 08.00 น. ถึง 16.00 น.<br /><br />ข. เริ่มทำงาน 08.15 น. ถึง 16.45 น.<br /><br />ค. เริ่มทำงาน 08.30 น. ถึง 16.30 น.<br /><br />ง. เริ่มทำงานตามตารางเรียนของทาง โรงเรียน<br /><br /><span style="font-weight:bold;">46. จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่าใด จึงประกอบกันเป็นสภาผู้แทนราษฎรได้</span><br /> ก. 400 คน<br /> ข. 420 คน<br /> ค. 456 คน<br /> ง. 480 คน<br /><span style="font-weight:bold;"><br />47. การแบ่งเขตเลือกตั้งสำหรับสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน แบ่งตามข้อใด</span><br /> ก. หลายๆ อำเภอติดต่อกันรวมเป็นเขต<br /> เลือกตั้ง<br /> ข. จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง<br /> ค. กลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง<br /> ง. ภูมิภาคเป็นเขตเลือกตั้ง<br /><span style="font-weight:bold;">48. แผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติเกิดขึ้นวันที่ ใดของไทย</span><br /><br />ก. 11 มกราคม 2553<br /><br />ข. 12 มกราคม 2553<br /><br />ค. 13 มกราคม 2553<br /><br />ง. 14 มกราคม 2553<br /><br /><span style="font-weight:bold;">49. “วิกฤตดูไบเวิลด์” มีสาเหตุมาจากข้อใด</span><br /><br />ก. ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์<br /><br />ข. วิกฤติราคาน้ำมัน<br /><br />ค. วิกฤตเศรษฐกิจโลก<br /><br />ง. วิกฤตค่าเงินดูไบ<br /><br /><span style="font-weight:bold;">50. หลักการสำคัญของ AFTA ข้อใดสำคัญที่สุด</span><br />ก. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า<br /><br />ข. การลดภาษีการค้า<br /><br />ค. การยกเลิกมาตรการปริมาณสินค้า<br /><br />ง. การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-41806416205363934362010-12-10T05:44:00.000-08:002010-12-10T05:48:49.987-08:00สรุปแนวข้อสอบครู<span style="font-weight:bold;">สรุปแนวข้อสอบ</span><br /><br />1. เทคโนโลยีทางการศึกษา…..(ขบวนการ วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)<br />2. เทคโนโลยีทางการศึกษามี 3 ชนิด (1.วัสดุ 2. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ 3. วิธีการ)<br />3. เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นวัสดุ ได้แก่ ชอล์ค ดินสอ แผนที่)<br />4. เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์….(คอมพิวเตอร์ สไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์)<br />5. เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นวิธีการ ได้แก่…(การทดลอง การสาธิต บทเรียนโปรแกรม)<br />6. MULTIMEDIA……….(สื่อประสม ได้แก่ SOUND ภาพ ข้อความ )........ออกสอบ สปจ. ปี 2546<br />7. ถ้าเปรียบเทคโนโลยีทางการศึกษาเหมือนต้นไผ่ นวัตกรรมจะหมาย……….(หน่อไม้)<br />8. การประเมินผลที่ สปช. ส่งเสริมให้โรงเรียนปฏิบัติคือ……………….(การตรวจผลงาน)<br />9. พบเด็กขาดเรียนบ่อย …. …(ปรับปรุงวิธีสอนให้น่าสนใจ ไม่ให้การบ้านมากเกินไป ไม่ลงโทษโดยวิธีให้อับอาย)<br />10. BIG BOOK อยู่ขั้นใดของ ม.ป.ภ………. (ขั้นที่ 4)<br />11. มปภ. มี 5 ขั้น (1. ครูอ่าน 2. นักเรียนเล่าเรื่อง 3. ครูและนักเรียนเขียน 4. นักเรียนทำหนังสือใหญ่ 5. ชื่นชมผลงาน)<br />12. กลุ่มประสบการณ์ใดที่มีอัตราเวลาเรียนตรงข้ามกับกลุ่มทักษะ……(กพอ. สปช.)<br />13. ความต้องการขั้นต่ำสุด และสูงสุดของ มาสโลว์…(ความต้องการด้านร่างกาย – ความสำเร็จ)<br />14. วิชาภาษาอังกฤษ ป. 1 เรียนกี่คาบ…..(120 คาบ)<br />15. วิชาภาษาอังกฤษ ป. 2 - 4 เรียนกี่คาบ…..(240 คาบ)<br />16. วิชาภาษาอังกฤษ ป. 5 – 6 เรียนกี่คาบ…..(600 คาบ)<br />17. ชั้น ป. 3 – 4 คัดลายมือแบบใด………..(ตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - ตัวหวัดแกมบรรจง)<br />18. วิชา สปช. หน่วยการเรียนใดมีอยู่ตั้งแต่ชั้น ป.1 – ป.6 คือ…...(ข่าวเหตุการณ์สำคัญ)<br />19. ป. 02 คือ…..…..(แบบกรอกคะแนนการประเมินผลประจำปี)<br />20. ป. 02 - 2 คือ……….(สมุดประจำชั้น จะอยู่ในเล่มเดียวกันกับ ป.02)<br />21. ข้อใดไม่สัมพันธ์กัน….. (ป.01 รบ.1 ต.)<br />22. เกณฑ์การจบหลักสูตรมัธยมต้น ต้องเรียนไม่น้อยกว่ากี่หน่วย….(90 หน่วย)<br />23. PORT FOLIO หมายถึง…..(แฟ้มสะสมงาน)<br />24. กระบวนการประเมินผล PORT FOLIO…..(แฟ้มสะสมงาน)<br />(1) จัดเก็บชิ้นงาน<br />(2) คัดเลือกชิ้นงานที่ดี<br />(3) นำเสนอความคิด บุคลิกภาพลงในแฟ้ม<br />(4) สะท้อนความคิดเห็นความรู้สึกต่อชิ้นงาน<br />(5) ตรวจสอบความเหมาะสมของแฟ้มสะสมงาน<br />(6) ประเมินและปรับปรุงให้สมบูรณ์<br />(7) ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเป็นปัจจุบัน<br />(8) แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชื่นชมในความสำเร็จ<br />25. ขั้นสุดท้ายของ PORT FOLIO คือ….(จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชื่นชมในความสำเร็จ)<br />26. มปภ. เน้นวิชาใด…(ภาษาไทย)<br />27. การเรียนการสอนปัจจุบัน เน้นสื่อการเรียนการประเภทใด (MULTI MEDIA)<br />28. ข้อใดคือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน………………………...(CAI)<br />29. เวลาเรียนระดับประถมศึกษา 1 คาบมีกี่นาที…………. (20 นาที)<br />30. อำเภอหนึ่งมีกลุ่มโรงเรียน 9 กลุ่มโรงเรียน จะมี กปอ.กี่คน….(12 คน)<br />31. โรงเรียนขนาดเล็ก มีครูไม่ครบชั้น ควรใช้สื่อประเภทใด……(RIT)<br />32. I.Q คนปกติอยู่ในช่วงใด….(90 – 110)<br />35. ใครเป็นผู้อนุมัติผลการเรียน ม.ต้น……(สถานศึกษา)<br />36. การทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ มีกำหนดระยะเวลา….(1 ปี)<br />37. ในระหว่างปี นักเรียนคนใดมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากและมีวุฒิภาวะเหมาะสมที่จะ เลื่อนไปเรียนในชั้นที่สูงขึ้น ให้สั่งเลื่อนไปเรียนในชั้นที่สูงขึ้น ภายใน….(1 กันยายน ของปีการศึกษานั้น)<br />38. วิธีการประเมินผลการเรียน……….ออกสอบ ปี 2543<br />- ก่อนจัดการเรียนการสอน ….เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานและทักษะเบื้องของนักเรียน<br />- ระหว่างภาคเรียน ……….….เพื่อพัฒนาการเรียนของนักเรียน และเพื่อประเมินผลการผ่านจุดประสงค์<br />- ปลายภาคเรียน ………….….เพื่อตรวจสอบความรู้ความสามารถตามที่กำหนด<br />39. ประสบการณ์นามธรรมสูงสุดของ เอ็ดกา เดล คือ……..…(วัจนสัญลักษณ์).......ออกสอบ ปี 2543<br />40. ระบบการทำงานคอมพิวเตอร์…………… (Input - Process - Output)<br />41. การสอนวิทยาศาสตร์ควรจัดสอนที่ใดดีที่สุด…(ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์)<br />42. ห้อง Sound Lab ใช้ประโยชน์กับวิชาใด…… ทุกวิชา ………ออกสอบ<br />43. โครงสร้างวิชาคณิตศาสตร์…(จำนวน พีชคณิต การวัด เรขาคณิต สถิติ)<br />44. โครงสร้างวิชาคณิตศาสตร์ ป. 1 – 2 …( จำนวน - การวัด - เรขาคณิต)<br />45. ระดับผลการเรียน 2 หมายถึง… (ผลการเรียนปานกลาง)…….ออกสอบ<br />46. ถ้านักเรียนจะขอย้ายสถานศึกษา จะใช้เอกสารใด…… (ป. 04)<br />47. การอุทธรณ์ ให้อุทธรณ์อย่างไร…(ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง)<br />48. การร้องทุกด้วยวาจา ร้องทุกข์เมื่อใด………( )<br />49. ระดับใดไม่ต้องสอบปลายภาคเรียน….(ป. 1- 3 - 5 )<br />50. รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีกี่มาตรา (336 มาตรา)<br />51. รัฐมนตรีกี่คน….(36 คน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี)<br />52. รัฐธรรมนูญใหม่เลือกตั้งแบบใด<br />- แบบแบ่งเขตเดียวเบอร์เดียว จำนวน 400 คน<br />- แบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน<br />53. ส.ส.กี่คน….(500 คน)<br />54. วิชาพุทธสาสนา จัดสอนในชั้นใด…(ให้นักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 – 2 ที่นับถือศาสนาพุทธ เรียนหน่วยที่ 1 – 10 ส่วนนักเรียนอื่นเรียนหน่วยที่ 1 – 6)<br />55. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้และการสอน……………ออกสอบ กทม.2542/ สปจ.ศรีสะเกษ 2543<br />א. พุทธิพิสัย<br />ב. จิตพิสัย<br />ג. ทักษะพิสัย<br />(ง) สังคมพิสัย<br />56. ครูลาคลอดบุตร ได้กี่วัน…………….(90 วัน)......ออกสอบ กทม. ปี 2545<br />57. ลากิจต่อเนื่องจากลาคลอด 90 วัน แล้ว ลาได้กี่วัน….(150 วันทำการ)……ออกสอบ ปี 2543<br />58. การลงโทษนักเรียนมีกี่สถาน…(6 สถาน)<br />59. ลาประเภทใดไม่ต้องรออนุญาต…..(การเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล).......ออกสอบ กทม. ปี 2545<br />60. ป. 5 – 6 เรียนกี่คาบต่อสัปดาห์…(30 คาบ)<br />63. ครูต้องไปถึงโรงเรียนก่อนเวลา….(08.15) กลับหลังเวลา……(16.45 น.)…..ออกสอบ<br />64. เวลาทำราชการปกติ คือ….(08.30 – 16.30 น.)…………….ออกสอบ สปจ.2542<br />65. การจัดตั้ง กรม สปช. ใช้กฎหมายใด….(พระราชบัญญัติ)………..ออกสอบ<br />66. กลุ่มโรงเรียน มี 9 โรง มีกรรมการกลุ่ม….(ผู้บริหาร 9 คน ผู้แทนครูครึ่งหนึ่ง 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 รวม 19 คน)<br />67. การจัดตั้ง ยุบเลิกเขตจังหวัด ใช้กฎหมายใด………..(พระราชบัญญัติ)<br />68. การจัดตั้ง ยุบเลิก สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.)ใช้กฎหมายใด…...(พระราชบัญญัติ)<br />69. ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ สังกัด….(กระทรวงมหาดไทย)….ออกสอบ ปี 2543<br />70. ใครเป็นผู้ประกาศรายชื่อส่งเด็กเข้าเรียน….(คณะกรรมการการประถมศึกษาอำเภอ)…..ออกสอบ ปี 2543<br />71. เด็กเขียนมือซ้ายเพราะ…..(ติดอ่าง)<br />72. ปีเข้าเรียนนับอย่างไร…. (ปีปฏิทิน)<br />73. เด็กขาดเรียนเกิน 7 วัน ตาม พรบ.ประถมศึกษา 2523 ปรับ (ไม่เกิน 1,000 บาท)….ออกสอบ ปี 2543<br />74. ถ้าสอบได้จะได้รับบรรจุ และรับเงินเดือนระดับใด…(อ. 1 ระดับ 3 – 5)<br />75. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ….(พ.ศ.2540 – 25400)<br />76. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ….(พ.ศ.2503 – 25406)<br />77. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ….(เน้นคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา)<br />78. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 กำหนดให้รัฐจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (12 ปี)<br />79. วินัยที่ดีที่สุดคือ….(วินัยในตนเองของทุกคน)<br />80. องค์ประกอบของการจูงใจ…(1. ผู้เข้ารับการจูงใจ 2. วิธีการจูงใจ 3. เป้าหมายการจูงใจ)<br />81. ความต้องการของมนุษย์ตามทฤษฎีของ มาสโลว์ มีกี่ขั้น…(5 ขั้น)<br />82. ข้อใดเป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนทำงาน……..(ความสำเร็จของงาน)<br />83. ข้อใดเป็นปัจจัยบำรุงจิตหรือปัจจัยค้ำจุน….(สภาพการทำงาน)<br />84. ข้อใดเป็นเทคนิคการจูงใจ….(การแบ่งงานให้ชัดเจน 2. การมอบหมายงานให้เหมาะสม<br />3. การกำหนดค่าตอบแทนให้เหมาะสม)<br />85. ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ คือ….(NECTEC)………ออกสอบ ปี 2543<br />86. ถ้าต้องการอัดสำเนาจำนวนมาก ๆ ควรใช้เครื่องมือชนิดใด…(COPY PRINTER)<br />87. ต้องการฉายภาพนำเสนอข้อมูลในการประชุม ควรใช้เครื่องมือชนิดใด….(PROJECTOR)<br />88. ต้องการอ่านรหัสแท่งใช้เครื่องมือ….(BARCODE READER)<br />89. เครื่องแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์สู่ ทีวี คือ……(TV CODER)….ออกสอบ ปี 2543<br />90. ข้อใดหมายถึงการสอนแบบสืบสวนสอบสวน…..(INQUIRY METHOD)<br />91. ข้อใดเป็นวิธีสอนที่ครูต้องสร้างสถานการณ์ฝึกให้นักเรียนสังเกต……(INQUIRY METHOD)<br />92. ข้อใดหมายถึงการเรียนแบบรอบรู้…..(MASTERY LEARN)<br />93. ข่อใดคือเครื่องจัดคิวข้อมูล……..(HUB)<br />94. การสอนโดยระบบคอมพิวเตอร์ ON – LINE โปรแกรมการสอนจะถูกเก็บไว้ที่….(SERVER)<br />95. การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา นำมาใช้ในประเทศไทยเมื่อใด…(2531)<br />96. สโมสรเอกชนใดให้การสนับสนุนการทดลองสอนแบบมุ่งประสบการณ์……(โรตารี่)<br />97. รูปแบบศูนย์การเรียนที่นิยมจัดในโรงเรียนคือ.(1. เอกเทศ 2.ในห้องเรียน 3. สอนแบบศูนย์การเรียน)<br />98. ศูนย์การเรียน เป็นการจัดประสบการณ์…(ให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตน เองมากที่สุด โดยอาศัยสื่อการสอนแบบประสม และกลุ่ม สัมพันธ์ เป็นการเรียนตามเอกัตภาพ)<br />100. ห้องปฏิบัติการทางภาษาใช้ประกอบการสอนวิชา (SOUND LAB)……(ทุกวิชา)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8472404268517425117.post-46119810001818947862010-12-09T23:43:00.000-08:002010-12-09T23:52:09.465-08:00เกริ่นนำก่อนเตรียมตัวสอบก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับท่านที่กำลังจะได้เป็นข้าราชการครูในเร็วๆนี้ และท่านก็คือคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าสู่ถนนสายข้าราชการครู ผมเองก็เคยเป็นอย่างเช่นท่านมาก่อนครับ เมื่อก่อนผมต้องตะเวนหาสอบไปทั่วราชอาณาจักรไทยเลย อ่านหนังสือทั้งคืนแต่ผลการสอบก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จแต่เมื่อเราไม่ยอมท้อกับอุปสรรค ผมมีแรงศรัทธาอย่างมุ่งมั่นว่าสักวันจะต้องเป็นของเรา และแล้วผมก็ทำได้ครับ ผมสามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้สมใจปราถนา เมื่อปี 2553 ซึ่งตอนนั้นอายุก้อเริ่มเข้าสู่หลัก 30 ไปแล้ว อาจจะประสบผลสำเร็จในเส้นทางสายนี้ช้าไปนิด แต่ผมก็ยังปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดว่ายังไม่คนที่เขายังทำไม่สำเร็จเหมือนเราก็มี เราอย่าไปท้อ บางทีก็แอบอิจฉารุ่นน้องที่เพิ่งจบปริญญากันใหม่ ๆ แล้วสอบบรรจุก็ได้กันทันที เขาช่างโชคดีอะไรแบบนี้<br /><br /> เข้าเรื่องสักนิดนะครับ ที่ผมเขียนบทความออกมาครั้งนี้ผมมีจุดประสงค์เพื่อที่จะต่อยอด เติมฝันให้กับหลาย ๆคนที่กำลังจะเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางสายข้าราชการครู ผมจะนำความรู้ที่ผมมี แนวข้อสอบ บทสรุปต่าง ๆ ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านมานำเสนอผ่านเว็บผมขอให้ท่านติดตามอ่านเรื่อย ๆนะครับ จะมีทั้งแนวข้อสอบ บทความ พรบ. และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผมจะนำมาเสนอเป็นระยะ <br /><br /> ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่มีไฟฝันแรงกล้าอย่างคุณ ผมเชื่อคุณต้องสำเร็จในสักวันAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00043306151641990875noreply@blogger.com0